ทีดีอาร์ไอห่วง Net zero ไทยช้ากว่าหลายประเทศทั่วโลกเสียโอกาสแข่งขัน 

กรุงเทพ 31 ต.ค.-ทีดีอาร์ไอ จัดงานสัมมนาประจำปี “ปรับประเทศไทย ไปสู่เศรษฐกิจ-สังคมคาร์บอนต่ำ” “สมเกียรติ” ย้ำ เศรษฐกิจ-สังคมไทยอยู่รอดหรือไม่ ขึ้นกับการปรับตัวรับมือ “Climate Change” ชี้มี 9 แรงกดดันที่ไทยต้องประสบ ห่วงตั้งเป้า Net zero ช้ากว่าหลายประเทศทั่วโลก ทำเสียโอกาสแข่งขัน


สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ จัดสัมมนาสาธารณะประจำปี 2566 ในหัวข้อ “ปรับประเทศไทย…ไปสู่ เศรษฐกิจ-สังคมคาร์บอนต่ำ” นำ 7 ข้อเสนอเชิงนโยบาย กำหนดเป้าพัฒนาประเทศ สร้างเศรษฐกิจสีเขียว ส่วนเรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลนั้น ควรแจกคนจนระดับรากหญ้าหรือคนที่เดือดร้อนจริงๆก่อนแล้ววัดผลว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่  โดยแหล่งเงิน ควรจะนำมาจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีจะดีที่สุด

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า การปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะกำหนดความอยู่รอดของเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยมีความท้าทายจากทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่างๆโดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ และการเตรียมปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็กต้องพึ่งพาการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศในระดับที่สูงมาก จึงไม่สามารถละเลยต่อแรงกดดันต่างๆได้


สำหรับแรงกดดันที่ไทยต้องเผชิญมีด้วยกันอย่างน้อย 9 ประการ คือ 1. ความตกลงปารีส ที่แต่ละประเทศจะต้องตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 2. มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู) ต่อการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมหนักบางรายการและมีแนวโน้มที่จะขยายรายการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต และยังมีอีกหลายประเทศเช่น สหรัฐฯ แคนาดาและออสเตรเลีย อาจใช้มาตรการในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย3.หน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศเฉพาะด้าน เช่น องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และองค์การการเดินเรือระหว่างประเทศ (IMO) เริ่มมีกิจกรรมที่มุ่งให้ประเทศสมาชิกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  4. บริษัทชั้นนำในระดับโลก ซึ่งเป็นผู้นำซัพพลายเชนของสินค้าผู้บริโภค ต้องการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และกดดันให้ซัพพลายเออร์ในประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย

5. นักลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ ที่ต้องการมาลงทุนในไทย มีเงื่อนไขว่าไทยต้องสามารถป้อนพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% 6. นักลงทุนในตลาดการเงินและตลาดทุนระหว่างประเทศ ซึ่งลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย เช่น กองทุนต่างๆ ที่ยึดหลักการลงทุนโดยมีความรับผิดชอบ กดดันให้บริษัทเหล่านี้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 7. นักเคลื่อนไหว ทั้งในและต่างประเทศ สร้างแรงกดดันให้บริษัทต่างๆ รักษาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 8. กลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนนักท่องเที่ยว ที่ตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม เลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 9. พนักงานหรือสหภาพแรงงานของบริษัท มีความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เลือกเข้าทำงานกับองค์กรที่มีความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ ในปี 2065  แต่ปรากฏว่ากลับล่าช้ากว่าหลายประเทศในโลก รวมทั้งประเทศในภูมิภาคเดียวกัน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนามและลาว ที่กำหนดเป้าหมายในปี 2050 และจีนที่กำหนดเป้าหมายในปี 2060 ซึ่งการที่ไทยมีเป้าหมายที่ล่าช้ากว่าประเทศอื่นมาก อาจทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลกไม่มีความโดดเด่น และอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในการดึงดูดการลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านได้  ที่สำคัญอาจทำธุรกิจของไทยโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับภาคอื่นๆเช่น ภาคการศึกษาที่จะไม่สามารถผลิตกำลังคนได้ทัน และทำให้ไทยไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจ-สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างทันท่วงที


นอกจากนี้ ไทยยังขาดยุทธศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวม จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้1. ควรจัดเก็บภาษีคาร์บอน 2 ระบบควบคู่ไปด้วยกันคือ ภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าส่งออกที่อยู่ภายใต้มาตรการCBAM และภาษีคาร์บอนพลังงาน ซึ่งจัดเก็บจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยผู้ที่เสียภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าส่งออกจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีคาร์บอนพลังงานในส่วนที่ได้เสียภาษีไปแล้ว ซึ่งอัตราภาษีคาร์บอนพลังงานในระยะแรกควรเริ่มจากระดับที่ไม่สูงมาก เช่น 175 บาทต่อตันคาร์บอน คาดว่ารัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3 หมื่นล้านบาท และควรนำรายได้นี้จัดตั้ง “กองทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศ” เพื่อสนับสนุนภาคการผลิตไทย และประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางให้ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ ก่อนที่จะจัดเก็บภาษีคาร์บอน รัฐบาลควรทยอยลดอัตราการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล รวมไปถึงในระยะยาวควรปฏิรูปโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ซึ่งไม่สะท้อนก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาให้เป็นภาษีคาร์บอน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการ เพราะจากการสำรวจของธนาคารโลก พบว่า ในปี 2023 มี 39 ประเทศและรัฐบาลท้องถิ่นอีก 33 แห่งที่ใช้ราคาคาร์บอนอยู่ในปัจจุบัน และยังมีรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นอีกกว่า 100 แห่งที่มีแผนจะใช้ราคาคาร์บอนในอนาคต

2. กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศให้อยู่บนพื้นฐานของการสร้าง “เศรษฐกิจสีเขียว” และสร้าง “งานสีเขียว” ที่มีรายได้ดีแก่ประชาชน  3. เร่งการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต (ภาคสมัครใจ) โดยควรเน้นการลดต้นทุนด้านการรับรองและทวนสอบ ควบคู่ไปกับการเพิ่มความต้องการคาร์บอนเครดิตของภาคธุรกิจ 

4. เร่งปฏิรูปตลาดไฟฟ้าของประเทศ ให้เป็นเครื่องมือที่เอื้อต่อการเติบโตของพลังงานหมุนเวียน โดยเปิดเสรีตลาดการผลิต เปิดสายส่งไฟฟ้าให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจากแหล่งต่างๆ สามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เป็นธรรม และนำเอาระบบการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงและระบบ net metering มาใช้ 5.ใช้มาตรการหนุนเสริมต่างๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์เขียว การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เขียวและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน  6. ทำพื้นที่นำร่อง (แซนด์บ็อกซ์) การลดก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยยกระดับโครงการ “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” จากการออกกฎหมายยกระดับการบริหารงานภาครัฐ ซึ่งได้มีการยกร่างไว้แล้ว และถอดบทเรียนจากพื้นที่นี้มาขยายผลในระดับประเทศและปฏิรูปโครงสร้าง และ 7. พัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อขอรับทุนสนับสนุนในการดำเนินการจากต่างประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถเร่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้เร็วขึ้น

ส่วนเรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลนั้น ดร.สมเกียรติกล่าวว่าควรแจกคนจนระดับรากหญ้าหรือคนที่เดือดร้อนจริงๆก่อนแล้ววัดผลว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่  โดยพิจารณาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ จะตรงเป้าประสงค์หลักของการกระตุ้นเศรษฐกิจมากที่สุดเพราะจากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่า การแจกเงิน 1 บาท จะได้จีดีพีกลับมาเพียง 40 สตางค์ โดยแหล่งเงิน ควรจะนำมาจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีจะดีที่สุดและทยอยแจกเป็นงวดๆก็ได้

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการทีดีอาร์ไอ ระบุว่า มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะเวลานี้เห็นชัดว่าโลกกำลังประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ ในไทยก็เห็นปัญหาภัยแล้ง คุณภาพของอากาศสะอาด ความถดถอยของความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะเดียวกันหลายประเทศก็มีกฎเกณฑ์ให้ภาคการผลิตเปิดเผยข้อมูลเรื่องการปล่อยคาร์บอน รวมไปถึงการที่อียู เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากการผลิตที่ปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งข้อกำหนดต่างๆเหล่านี้จะมีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ถ้าภาคธุรกิจให้ความสนใจก็จะเป็นประโยชน์ บางคนเห็นถึงโอกาสในการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดซึ่งสามารถลดต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าพลังงานจากฟอสซิลได้ โดยโจทย์ที่พูดถึงเวลานี้เป็นโจทย์ยากที่ต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่โจทย์ที่จะทำได้โดยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่โจทย์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คนใดคนหนึ่งจะแก้ได้โดยลำพัง ทุกฝ่ายต่างมีบทบาทในโจทย์นี้ร่วมกัน

สอดรับกับดร. วิรไท สันติประภพ กรรมการสถาบัน ทีดีอาร์ไอ ที่ระบุว่า วันนี้คือหายนะทางสภาวะภูมิอากาศ เรียกได้ว่าโลกเปลี่ยนจุดหักเหไปแล้ว ไม่มีทางที่สภาวะอากาศจะกลับมาเหมือนเดิม มีแต่ปัญหาจะรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเราทุกคนจะต้องปรับวิถีชีวิต ปรับพฤติกรรม ปรับรูปแบบธุรกิจของ ให้สามารถตั้งรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศให้ได้อย่างเท่าทัน  และต้องไม่ไปซ้ำเติมปัญหาให้รุนแรงมากขึ้น ต้องคิดข้ามศาสตร์ ข้ามสาขาวิชา ออกจากไซโลเดิมของเราเพราะเรื่องนี้ไม่สามารถทำได้เพียงศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น  

โดยเฉพาะบทบาทของภาครัฐที่ติดอยู่กับกรอบอำนาจหน้าที่ทางกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็จะต้องคิดถึงแผนในการตั้งรับกติกาใหม่ๆที่จะออกมา ดังนั้นธุรกิจต้องปรับตัวอย่างเท่าทัน เราไม่มีทางที่จะรับมือความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศได้ด้วยวิถีการทำธุรกิจแบบเดิมๆ ซึ่งนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ออกมาเรื่อยๆสามารถยกระดับผลิตภาพช่วยในการแข่งขัน และเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆของธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็ว และสร้างความสามารถได้ก่อนคู่แข่ง นอกจากนี้จะต้องมีการลงทุนอีกมากทั้งระดับธุรกิจและระดับรัฐบาลเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และต้องคิดด้วยว่า จะทำอย่างไรให้ฐานะการเงินการคลังของประเทศเข้มแข็ง สามารถรับมือภัยพิบัติใหม่ๆได้.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มซิ่งกระบะชนเสาไฟฟ้าล้มขวางถนน 12 ต้น

ชลบุรี 28 ก.ย. – หนุ่มซิ่งกระบะพุ่งชนเสาไฟฟ้า บนถนนสายบึง-บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ล้มขวางถนน 12 ต้น ทำให้ไฟฟ้าดับตลอดแนว รวมทั้งต้องปิดการสัญจรตลอดทั้งวัน คาดจะกลับมาเปิดการจราจรตามปกติได้วันพรุ่งนี้ (29 ก.ย.) รถกระบะพุ่งชนเสาไฟฟ้า บนถนนสายบึง-บ่อวิน ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ล้มขวางถนน 12 ต้น เป็นเสาไฟฟ้าแรงสูง 6 ต้น เสาไฟฟ้าสูง 12 เมตร อีก 6 ต้น ระยะทาง 500 เมตร โชคดีนายสิทธิพงษ์ อายุ 41 ปี คนขับ บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ทำให้ไฟฟ้าดับตลอดแนว รวมทั้งต้องปิดการสัญจรบนถนนสายบึง-บ่อวิน ตลอดทั้งวัน คาดว่าจะกลับมาเปิดการจราจรตามปกติได้วันพรุ่งนี้ (29 ก.ย.) จากการสอบสวนทราบว่า นายสิทธิพงษ์ เพิ่งเลิกงาน ขับรถกลับบ้านด้วยความเร็ว อาจหลับใน ทำให้รถเปลี่ยนเลนข้ามไปชนกับเสาไฟฟ้าอีกฝั่ง ส่วนความเสียหายยังประเมินค่าไม่ได้.-สำนักข่าวไทย

“อนุทิน” ร่วมงานศพพ่อ “อัครเดช” โชว์หวานยกความสัมพันธ์จีบเข้า ภท.

ราชบุรี 28 ก.ย.- “อนุทิน” ร่วมสวดอภิธรรมศพพ่อ “สส.อัครเดช” โชว์หวานยกความสัมพันธ์จีบเข้าภูมิใจไทย ลั่นได้ส่งจิตขออนุญาตคุณพ่อแล้ว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตาีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายศักดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ได้ร่วมไว้อาลัยและสวดอภิธรรมศพ คุณพ่อวุฒิพงศ์ วงษ์พิทักษ์โรจน์ บิดาของนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อค่ำวันที่ 27 ก.ย. ที่จังหวัดราชบุรี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนกว่า 2,000 ร่วมพิธีโดยเป็นการสวดอภิธรรมเป็นคืนที่ 4 และจะมีพิธีบรรจุศพในวันที่ 30 ก.ย. นี้ ในช่วงท้าย นายอนุทิน ได้กล่าวกับผู้ที่ร่วมสวดอภิธรรมศพ ว่า ตนเองมีความสนิทสนมกับ นายอัครเดช มาหลายปีแล้ว นายอัครเดชเป็นคนมีความวิริยะอุสาหะ ตั้งใจทำงานให้พี่น้องประชาชน ตนมีความชื่นชมและศรัทธา ในความขัยนขันแข็งของท่าน ยิ่งไปกว่านั้นการปฏิบัติหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ท่านก็ทำหน้าที่ได้ดีเป็นดาวสภา […]

โซเชียลแห่ชื่นชม “สีหศักดิ์” กร้าว เวที UNGA

กรุงเทพฯ 28 ก.ย. – โซเชียลแห่ชื่นชม “สีหศักดิ์” กร้าว เวที UNGA หลัง “อนุทิน” มอบดาบการทูตสู้กัมพูชา ขณะนายกฯ ย้ำยึดสันติในการแก้ปัญหา เพื่อประโยชน์ของประเทศ ภายหลังจากที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวในเวทีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ หรือ UNGA สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ที่นครนิวยอร์ก ทำให้กระแสโซเชียลในประเทศไทย พึงพอใจกับการทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ การเดินทางไปเวที UNGA ของนายสีหศักดิ์ ครั้งนี้ยึดแนวทางแก้ปัญหาความมั่นคงและการต่างประเทศ ที่นายอนุทิน มอบหมายให้ดำเนินการ โดยใช้มาตรการทางการทหารควบคู่กับการทูต เพื่อรักษาอธิปไตยอย่างสันติ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน โดยเฉพาะในกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ขณะที่นายอนุทิน เชื่อว่า การกล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุม UNGA ของนายสีหศักดิ์ ทำให้คนไทยมีความเชื่อมั่นอย่างชัดเจนต่อจุดยืนของรัฐบาล สำหรับนโยบาย 4 เดือน 4 ภารกิจหลัก คืนความมั่นใจให้ประเทศไทย ตามนโยบายรัฐบาลของนายอนุทิน […]

กรมอุตุฯ เตือนฝนถล่มทั่วไทย รับมืออิทธิพลพายุบัวลอย

กทม. 28 ก.ย.- กรมอุตุฯ เตือนทั่วไทยรับมือฝนถล่ม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง จับตาอิทธิพลพายุไต้ฝุ่น “บัวลอย” คาดเคลื่อนขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบน พรุ่งนี้ (29 ก.ย.) กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสกลนคร นครพนม อุดรธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง เนื่องจากร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น […]

ข่าวแนะนำ

สีสัน! อภิปรายนโยบายรัฐบาลวันแรก

29 ก.ย.- การแถลงนโยบายรัฐบาลวันนี้ เหมือนเป็นการซ้อมศึกซักฟอกย่อย เพราะมีการตอบโต้และตั้งฉายามากมาย ติดตามสีสันการอภิปรายนโยบายฯ วันแรก .-สำนักข่าวไทย

เตรียมรับมือพายุบัวลอย คาดฝนหนักคืนนี้

29 ก.ย.- หลายพื้นที่เฝ้าระวังฝนตกหนัก จากอิทธิพล #พายุบัวลอย เชียงใหม่เปิดประตูระบายน้ำทุกจุด เร่งระบายน้ำปิงลงทะเลสาบดอยเต่า พร่องน้ำในเขื่อนแม่งัดฯ เตรียมรับน้ำฝน คาดตกหนักคืนนี้ ขณะที่ จ.นครราชสีมา น้ำล้นสปิลเวย์ เตือนประชาชนระวังน้ำท่วมฉับพลัน พายุฝนตกกระหน่ำหลายพื้นที่จังหวัดสระแก้ว โดยพื้นที่ ต.บ้านแก้ง อ.เมืองสระแก้ว นายก อบต.บ้านแก้ง พร้อมผู้นำชุมชน และอาสาสมัครกู้ภัย ได้นำเรือเครื่องยนต์ท้องแบน เข้าช่วยเหลือ ตาชู-ยายทองคำ และสุนัข 1 ตัว ออกจากบ้านที่โดนน้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมเกือบมิดหลังคา  มาอยู่ในที่ปลอดภัย ยายทองคำ เล่าว่าเมื่อคืนพักอยู่กับตาและหมา กำลังจะเข้านอนแต่ก็มีฝนตกตลอดทั้งคืน น้ำที่คลองก็ยังไม่เห็นว่าจะขึ้นล้นตลิ่งเท่าไร แต่ก็กังวล จึงเฝ้าดูกระทั่งน้ำไหลมาและเข้าท่วม ตกใจ จึงได้นำสุนัขขึ้นบนบ้าน ส่วนข้าวของก็เก็บไม่ทัน จากนั้นจึงอยู่แต่บนบ้านจนถึงเช้า กู้ภัยมาช่วยนำออกมาจากบ้าน อยู่มาหลายสิบปีไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเลย  ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เตรียมรับมือพายุบัวลอย คาดตกหนักคืนนี้ เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา หลายพื้นที่เชียงใหม่ เริ่มมีฝนตกลงมาบ้างแล้ว ระดับน้ำในลำน้ำปิงที่ไหลผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ ที่จุดวัดพี1 เชิงสะพานนวรัฐ ยังอยู่ที่ 2 เมตร 49 เซนติเมตร ต่ำกว่าจุดวิกฤติแจ้งเตือนที่ […]

แถลงนโยบายวันแรกเดือด ประท้วงกันวุ่น

29 ก.ย.- สภาเดือด! แถลงนโยบายรัฐบาลวันแรก อภิปรายตอบโต้-ประท้วงกันเป็นระยะ เมื่อมีการพาดพิงปมเขากระโดง-ฮั้ว สว. แต่ประธานฯ คุมสถานการณ์ได้ ด้านนายกฯ ไม่กังวลวาทกรรมของฝ่ายค้าน ชี้ประเด็นซ้ำๆ และมีการแถลงข้อเท็จจริงไปแล้ว -สำนักข่าวไทย

ฝ่าดงทุ่นระเบิดเคลียร์พื้นที่บ้านชำราก “ผลักดัน-รื้อถอน”

29 ก.ย.- ทหารเรือฝ่าดงทุ่นระเบิดเข้าเคลียร์พื้นที่บ้านชำราก จ.ตราด ผลักดันกำลังฝ่ายตรงข้าม-รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง 3 หลัง รุกล้ำเขตอธิปไตยไทย ขณะที่ชาวบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว นำอาหารมอบให้ทหารแนวหน้า ยังไม่พบความเคลื่อนไหวผิดปกติ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และพลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ว่าที่ ผู้บัญชาการทหารเรือ คนใหม่ มอบหมายพลเรือโทอภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด (กกล.กปช.จต.) เข้าเคลียร์พื้นที่ชายแดนบ้านชำราก อันเป็นอธิปไตยของไทย โดยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีตราด จึงได้ผลักดันกองกำลังกัมพูชา ออกจากพื้นที่บริเวณตรงข้ามบ้านหนองรี ตำบลชำราก ไม่มีกำลังฝ่ายกัมพูชาวางกำลังแล้ว ผลจากการปฏิบัติการ บรรลุเป้าหมายสำคัญ คือ สามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างทั้ง 3 หลังลงได้อย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญที่สุดคือ สามารถผลักดันกำลังฝ่ายตรงข้ามให้ออกจากพื้นที่รุกล้ำได้อย่างสมบูรณ์ ประชาชนนำอาหารมอบทหารแนวหน้า บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ส่วนที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว บรรยาศเงียบเหงา แต่ยังคงมีประชาชนเดินทางนำอาหาร เช่น ไข่ไก่ น้ำดื่ม นำมามอบให้กับทหารแนวหน้า ถึงแม้จะไม่คึกคักเหมือนวันก่อนๆ […]