อินโดนีเซียเผยวัคซีนโควิดจีนมีประสิทธิภาพ 97%

จาการ์ตา 8 ธ.ค. – ไบโอ ฟาร์มา บริษัทเวชภัณฑ์ของอินโดนีเซียเผยข้อมูลเบื้องต้นจากการทดลองวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทซิโนแวกของจีนว่า มีประสิทธิภาพสูงถึงร้อยละ 97 โฆษกของไบโอ ฟาร์มากล่าวในงานแถลงข่าวว่า ทีมงานทดลองทางคลินิกของบริษัทแจ้งข้อมูลเบื้องต้นว่า วัคซีนของซิโนแวกมีประสิทธิภาพสูงถึงร้อยละ 97 และว่า บริษัทจะรอผลการทดลองที่เสร็จสมบูรณ์ และคาดว่า สำนักงานอาหารและยาของอินโดนีเซียจะอนุมัติให้ใช้วัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉินในช่วงปลายเดือนมกราคมปีหน้า ก่อนที่จะเริ่มการฉีดวัคซีนในประชาชนจำนวนมากเป็นลำดับต่อไป อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้เผยรายละเอียดว่า ผลเบื้องต้นดังกล่าวมาจากการทดลองทางคลินิกระยะสุดท้ายหรือไม่ และไม่ได้ให้ข้อมูลว่า มีอาสาสมัครกี่คนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในระหว่างการทดลองทางคลินิกที่มีผู้เข้าร่วม 1,600 คน โฆษกอีกคนของไบโอ ฟาร์มาเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ในเวลาต่อมาว่า บริษัทกำลังรวบรวมข้อมูลประสิทธิภาพวัคซีนในการทดลองทางคลินิกในระยะที่ 3 ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ แต่โฆษกของซิโนแวกเผยว่า บริษัทยังไม่ได้รับรายงานประสิทธิภาพวัคซีนในการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3. -สำนักข่าวไทย

ไข้หวัดนกระบาดในฮิโรชิมา

ฮิโรชิมา 8 ธ.ค. – เจ้าหน้าที่ทางการจังหวัดฮิโรชิมา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ต้องกำจัดไก่ 134,000 ตัว หลังตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5 ในฟาร์มแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่เผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาพบไก่ในฟาร์มแห่งหนึ่งของเมืองมิฮาระ ตายเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบซากพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5 เจ้าหน้าที่ในจังหวัดและกองกำลังป้องกันตนเอง รวม 860 คน ต้องระดมกำลังช่วยกันกำจัดไก่ทั้งหมดในวันจันทร์ และจะพิจารณาหาวิธีดำเนินการกับซากไก่ต่อไป โดยอาจใช้วิธีฝังกลบ ขณะเดียวกันทางการท้องถิ่นยังสั่งห้ามขนส่งไก่และไข่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตรรอบฟาร์มที่เกิดเหตุ ส่วนเกษตรกรที่อยู่ในรัศมี 10 กิโลเมตรถูกสั่งห้ามขนส่งไก่และไข่ออกนอกพื้นที่ด้วยเช่นกัน พื้นที่ดังกล่าวมีฟาร์มสัตว์ปีกทั้งหมด 13 แห่ง เจ้าหน้าที่กำลังฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อยานพาหนะทุกคันที่เดินทางเข้าออกฟาร์ม 7 แห่ง พร้อมทั้งเฝ้าระวังว่ามีไก่ตายอีกหรือไม่.-สำนักข่าวไทย

พยาบาลเมียนมาเผยโควิดทำล้าทั้งกายและใจ

ย่างกุ้ง 8 ธ.ค.- พยาบาลชาวเมียนมาเผยว่า สภาพการทำงานหนักและเคร่งเครียดช่วงโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 แพร่ระบาด ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ในระบบสาธารณสุขที่อ่อนแอเกิดความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ พยาบาลวัย 52 ปี เผยว่า เตรียมเกษียณก่อนกำหนดในปีหน้าไม่ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะเป็นอย่างไรก็ตาม เธอมีสิทธิเพราะทำงานมาแล้ว 25 ปี แพทย์และพยาบาลพากันติดเชื้อและเสียชีวิตโดยไม่ได้รับการสนับสนุน ร่างกายทุกคนอ่อนล้า สภาพจิตใจหดหู่ เธอต้องถามไถ่สารทุกข์สุกดิบมารดาวัย 82 ปีผ่านวิดีโอคอลทางโทรศัพท์ ไม่สามารถกลับไปเยี่ยมที่บ้านตามที่มารดาร้องขอ เพราะทำงานที่ศูนย์กักโรคมานาน 5 เดือนแล้ว มารดาเสียใจที่เธอไม่กลับไปเยี่ยมเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์การระบาดเป็นอย่างไร บุคลากรทางการแพทย์หลายคนถูกกดดันหนักจนใกล้ถึงจุดระเบิดแล้ว ด้านอธิบดีกระทรวงสาธารณสุขและกีฬายอมรับว่า เป็นการทำงานที่มีแรงกดดันมาก ทางการกำลังทำแผนปฏิบัติการช่วยเยียวยาสภาพจิตใจบุคลากรทางการแพทย์ เมียนมามีบุคลากรทางการแพทย์ของรัฐประจำตามศูนย์กักโรคเฉลี่ยแห่งละ 2 คนเท่านั้น ทำหน้าที่ชี้แนะอาสาสมัครที่มาช่วยงานราวแห่งละ 100 คน ยอดผู้ป่วยสะสมจนถึงวานนี้อยู่ที่ 100,431 คน เสียชีวิต 2,132 คน.-สำนักข่าวไทย

เยอรมนีอาจเข้มงวดโควิดยิ่งขึ้นก่อนคริสต์มาส

เบอร์ลิน 8 ธ.ค. – ทางการเยอรมนีอาจใช้มาตรการเข้มงวดยิ่งขึ้นในการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์บางพื้นที่และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมไม่อาจยับยั้งการระบาดได้ นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนีกล่าวในที่ประชุมพรรครัฐบาลว่า มาตรการล็อกดาวน์ที่ใช้อยู่ในขณะนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เยอรมนีผ่านพ้นวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงฤดูหนาวได้ ขณะที่นายเยนส์ ชปาห์น รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเยอรมนีให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ฟีนิกซ์ของเยอรมนีเกี่ยวกับความเห็นของผู้นำเยอรมนีว่า แนวทางรับมือกับการระบาดที่ครอบคลุมเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และแตกต่างไปจากเดิมอาจประสบความสำเร็จในการยับยั้งการระบาดได้มากกว่า หากยังไม่สำเร็จภายใน 1 – 2 สัปดาห์ข้างหน้าก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาส ก็จำเป็นต้องหารืออีกครั้ง สถานีโทรทัศน์อาร์บีบีของเยอรมนีรายงานอ้างคำพูดของมุขมนตรีรัฐบรันเดินบูร์กว่า รัฐบาลกลางและมุขมนตรีรัฐต่าง ๆ จะหารือร่วมกันเกี่ยวกับการตัดสินใจใช้มาตรการเข้มงวดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่ผู้นำทางการเมืองหลายรายเชื่อว่า มาตรการที่ใช้อยู่สามารถป้องกันไม่ให้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยลดลง อีกทั้งเยอรมนียังทำสถิติผู้เสียชีวิตรายวันสูงสุด 487 คนในสัปดาห์ที่ผ่านมา เยอรมนีพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ราว 12,300 คน และผู้เสียชีวิต 147 คน ทำให้มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 1.2 ล้านคน และผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นราว 19,400 คน. -สำนักข่าวไทย

ตุรกีอาจเริ่มฉีดวัคซีนโควิดจีนในเดือนนี้

อิสตันบูล 8 ธ.ค.- รัฐมนตรีสาธารณสุขตุรกีเผยว่า ตุรกีอาจเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ของบริษัทจีนให้ประชาชนได้ภายในสิ้นเดือนนี้เมื่อเสร็จสิ้นการวิเคราะห์เพื่อให้ใบอนุญาตใช้ในประเทศ หนังสือพิมพ์ตุรกีอ้างนายฟาห์เรตติน โคจา รัฐมนตรีสาธารณสุขว่า วัคซีนโคโรแวก (Coronavac) ของซิโนแวกไบโอเทคจะส่งมาถึงตุรกีหลังวันที่ 11 ธันวาคม วัคซีนนี้อยู่ระหว่างการทดลองระยะสามซึ่งเป็นระยะสุดท้ายในตุรกีและหลายประเทศ จึงต้องรอการตรวจสอบและวิเคราะห์อีกสองสัปดาห์ เดือนที่แล้วตุรกีได้ลงนามสัญญาสั่งซื้อโคโรนาแวก 50 ล้านโดส กำหนดทยอยส่งระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ นายโคจากล่าวว่า ตุรกีมีประชากร 83 ล้านคน จึงต้องการสั่งซื้อมากกว่านี้แต่ไม่สามารถทำได้ ขณะนี้กำลังมองหาวัคซีนจากรัสเซียและบริษัทอื่น ๆ เพื่อนำมาใช้ระหว่างรอจนกว่าจะสามารถผลิตได้เองในประเทศ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาขอเพิ่มคำสั่งซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคจากที่สั่งเบื้องต้น 1 ล้านโดส สองบริษัทนี้เผยว่า จะส่งให้ได้ 25 ล้านโดสในปีหน้า แต่ตุรกีต้องการให้ส่งมาก่อนที่จะผลิตได้เองในเดือนเมษายน อนึ่ง ตุรกีมีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมกว่า 860,000 คน เสียชีวิตกว่า 15,100 คน.-สำนักข่าวไทย

คุณยายชาวอังกฤษฉีดวัคซีนโควิดคนแรกของโลก

นางมาร์กาเรต คีแนน คุณยายชาวอังกฤษวัย 90 ปีกลายเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ที่ได้รับอนุมัติแล้วคนแรกของโลก

รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียยกเลิกกักตัวคนจากสองรัฐ

เพิร์ธ 8 ธ.ค. – รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียประกาศยกเลิกมาตรการกักตัวในผู้ที่เดินทางมาจากรัฐวิกตอเรียและรัฐนิวเซาท์เวลส์เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน นายมาร์ค แมคโกแวน มุขมนตรีรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียกล่าวว่า ผู้ที่เดินทางเข้ามายังรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียจากรัฐวิกตอเรียและรัฐนิวเซาท์เวลส์ไม่จำเป็นต้องเข้าสู่มาตรการกักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 2 สัปดาห์อีกต่อไป การประกาศยกเลิกมาตรการดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐวิกตอเรียและรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็น 2 รัฐที่มีประชากรมากที่สุดของออสเตรเลียไม่พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายใหม่ หรือพบผู้ป่วยติดเชื้อเพียงเล็กน้อยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ในออสเตรเลีย รัฐวิกตอเรียไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ติดต่อกันมานานกว่า 1 เดือนแล้ว ขณะที่รัฐนิวเซาท์เวลส์พบผู้ป่วยติดเชื้อในชุมชนเพียง 1 คนในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ทางการรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียยังคงใช้มาตรการกักตัวในผู้ที่เดินทางมาจากรัฐเซาท์ออสเตรเลียที่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 30 คนในช่วงปลายเดือนก่อน. -สำนักข่าวไทย

เผย “ไบเดน” เลือก รมว.กลาโหมผิวดำคนแรก

วอชิงตัน 8 ธ.ค. – สื่อสหรัฐเผยว่า นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเลือกนายพลลอยด์ ออสติน ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ซึ่งถือเป็นรัฐมนตรีกลาโหมผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐ ซีเอ็นเอ็น โพลิติโค และเดอะนิวยอร์กไทม์รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า นายไบเดนตัดสินใจเลือกนายพลลอยด์ ออสติน อดีตนายพล 4 ดาวเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันวัย 67 ปีที่เคยนำกองทัพอเมริกันบุกอิรักในปี 2546 ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม พลิกโผจากก่อนหน้านี้ที่มีชื่อของนางมิเชล ฟลัวร์นอย อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ท่ามกลางกระแสกดดันให้นายไบเดนเสนอชื่อบุคคลที่มาจากคนกลุ่มน้อยให้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีมากขึ้น โดยนายไบเดนจะประกาศชื่อรัฐมนตรีกลาโหมในวันศุกร์นี้ อย่างไรก็ดี นายพลออสตินต้องผ่านการอนุมัติจากวุฒิสภาก่อนเข้ารับตำแหน่ง และต้องได้รับข้อยกเว้นเป็นกรณีพิเศษจากวุฒิสภา เนื่องจากกฎหมายสหรัฐกำหนดให้เจ้าหน้าที่ทหารต้องเกษียณราชการครบ 7 ปีก่อนจึงจะสามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมได้ เป็นไปตามทัศนะที่ว่าตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมควรเป็นพลเรือน หากนายพลออสตินเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม เขาจะต้องรับหน้าที่บริหารกองทหารประจำการราว 1.2 ล้านคน ซึ่งมีเพียงร้อยละ 16 ที่เป็นทหารผิวดำ อย่างไรก็ดี ทหารผิวดำส่วนใหญ่มักมียศในระดับชั้นผู้น้อย และมีส่วนน้อยที่ได้รับการเลื่อนยศในระดับสูง ประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้นในปีที่ผ่านมา เมื่อเหล่าพลทหารชายหญิงเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันประกาศตัวสนับสนุนการประท้วงแบล็ก ไลฟ์ส แมทเทอร์ (Black Lives Matter) เพื่อต่อต้านตำรวจที่เหยียดผิวและใช้กำลังเกินกว่าเหตุ นายพลออสตินอาจต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง […]

จีนถอดทริปแอดไวเซอร์และอีกกว่า 100 แอป

ปักกิ่ง 8 ธ.ค.- จีนปฏิบัติการกวาดล้างแอปพลิเคชันที่เห็นว่าไม่เหมาะสม โดยถอดแอปทริปแอดไวเซอร์และแอปอื่นๆ อีก 104 แอปออกจากแอปสโตร์ สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซของจีนแถลงในเว็บไซต์ว่า จีนได้ถอดทั้งหมด 105 แอป รวมถึงทริปแอดไวเซอร์ (TripAdvisor) แอปท่องเที่ยวของสหรัฐออกจากแอปสโตร์ในประเทศ ตามโครงการกวาดล้างแอปที่เห็นว่าเผยแพร่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับภาพอนาจาร การค้าประเวณี การพนัน และความรุนแรง เนื่องจากแต่ละแอปที่ถูกถอดออกไปละเมิดกฎหมายไซเบอร์อย่างน้อยหนึ่งในสามฉบับ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดสำหรับแต่ละแอป สำนักงานระบุว่า ได้เริ่มการกวาดล้างมาตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน ตามที่ประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาล่วงละเมิด และว่าจะเดินหน้าควบคุมและลบแอปละเมิดกฎหมายออกให้ทันท่วงทีต่อไป รอยเตอร์ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาจีนได้ควบคุมโลกไซเบอร์ในประเทศอย่างเข้มงวด และลงโทษข้อหาละเมิดกฎหมายอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแอปที่ดำเนินการโดยบริษัทในประเทศหรือต่างประเทศ.-สำนักข่าวไทย

ฮ่องกงจะคุมเข้มรับประทานอาหารและโควิดอีก

ฮ่องกง 8 ธ.ค.- ฮ่องกงจะจำกัดการรับประทานอาหารนอกบ้าน และประกาศมาตรการใหม่ควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 หลังจากพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น นาง แคร์รี หล่ำ ผู้บริหารฮ่องกง ประกาศในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ว่า จะห้ามการรับประทานอาหารในร้านตั้งแต่หลังเวลา 18.00 น. เป็นต้นไป และจะประกาศมาตรการใหม่ตามมา เพื่อควบคุมการระบาด หลังจากเมื่อวานนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ อีก 78 คน ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 6,976 คน มาตรการใหม่ที่จะประกาศตามมา จะครอบคลุมการกลับมาปิดโรงยิมและร้านเสริมสวยอีกครั้ง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียด หรือระบุว่าจะมีผลเมื่อใด ก่อนหน้านี้ รัฐบาลฮ่องกง ได้ขอให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และห้ามการจับกลุ่มกันเกิน 2 คน รวมทั้งให้ข้าราชการส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านอยู่แล้ว นางหล่ำ ระบุด้วยว่า สถานการณ์ขณะนี้น่าเป็นห่วงมาก เพราะการระบาดระลอกใหม่มีความซับซ้อนและรุนแรงกว่า ระลอกก่อน ผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแพร่กระจายในวงกว้าง หากไม่ควบคุมอย่างเข้มงวด ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะหามาตรการบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดล่าสุด.-สำนักข่าวไทย

จีนยืนยันจะทำตามข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ

วอชิงตัน 8 ธ.ค.- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนให้คำมั่นว่า จีนจะยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงทางการค้าระยะหรือเฟสหนึ่งกับสหรัฐ แม้สหรัฐจะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ในเดือนหน้า นายเครก อัลเลน ประธานสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน เปิดเผยว่า ในระหว่างการประชุมทางวิดีโอเมื่อวันอาทิตย์ นาย หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ให้ความมั่นใจกับเหล่าผู้บริหารของสหรัฐว่า จีนจะยังคงยึดมั่นในข้อตกลงการค้าเฟสหนึ่งกับสหรัฐต่อไป สภาธุรกิจสหรัฐ-จีน ซึ่งเป็นตัวแทนของ บริษัท 240 แห่งที่ทำธุรกิจในจีน แถลงว่า ยินดีที่จีนมีความคืบหน้าในการปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟสหนึ่งที่สหรัฐและจีนลงนามกันไปเมื่อเดือนมกราคม แม้ว่าจีนจะยังไม่ซื้อสินค้าและบริการของสหรัฐเพิ่มขึ้นตามเป้าก็ตาม เนื่องจากเป็นข้อตกลงสองปีจึงยังมีเวลาอยู่ ข้อมูลของสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศระบุว่า นับจนถึงเดือนตุลาคม จีนได้ซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐแล้วครึ่งหนึ่งจากที่ระบุไว้ในข้อตกลงเฟสหนึ่งว่า ต้องซื้อ 75,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.27 ล้านบาท) ในปีนี้ ประธานสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน เปิดเผยด้วยว่า ทางสภาได้แสดงความกังวลต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนในเรื่องการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อบริษัทสหรัฐ ความกังวลเรื่องวีซ่า และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมแสดงความหวังว่าสหรัฐและจีนซึ่งเป็นสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก จะเริ่มการเจรจาข้อตกลงระยะที่ 2 โดยไม่ชักช้าหลังจาก โจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 20 มกราคม.-สำนักข่าวไทย

1 661 662 663 664 665 697