เมียนมา 1 เม.ย. – ขณะที่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเมียนมา กำลังเดือดร้อนหนัก เริ่มมีข่าวแล้วว่ามีการขัดขวางความช่วยเหลือ
“ในเวลาที่ความช่วยเหลือจากต่างชาติหลั่งไหลเข้าไปในเมียนมา เพื่อบรรเทาทุกข์ มีแง่มุมน่าคิดโยงกับการเมืองโลกและการเมืองภายใน ที่สำคัญมีเสียงของประชาชนที่ต้องการให้โลกรับรู้ว่าช่วยอย่างไรให้ถึงมือประชาชน”
ชาวเมืองมัณฑะเลย์ ยังคงต้องพยายามทำใจยอมรับสถานการณ์หายนะภัย ที่ว่างใต้เงาไม้เป็นที่พักพิงที่ร่มเย็นที่สุดในเวลานี้ ไม่รู้ว่าแผ่นดินจะสะเทือนอีกเมื่อไร หลายคนที่ยังทำใจกลับเข้าบ้านไม่ได้ ทางเท้าริมฝั่งแม่น้ำจึงเป็นที่หลับนอนที่ไม่มีเตียงอุ่นสบาย แต่อุ่นใจกว่า
ในยามเกิดหายนะภัย การจัดส่งความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีสำคัญอย่างยิ่งยวดในการรักษาชีวิต ยิ่งเมื่อเป็นเหตุที่เกิดในประเทศที่ขาดรัฐบาลที่บริหารงานเต็มรูปแบบ และยังตกอยู่ในสงครามกลางเมืองอย่างเมียนมาเวลานี้
ตั้งแต่เหตุวิปโยค หลายประเทศเร่งส่งความช่วยเหลือ และหน่วยกู้ภัยเข้าไป พันธมิตรกับรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างจีน และรัสเซีย เป็นชาติแรกๆ ที่มีกำลังคนและกำลังแรงพร้อม นำทีมหลายร้อยคน มีทั้งผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ พยาบาล เข้าไปยังพื้นที่ พร้อมสิ่งของบรรเทาทุกข์ เพื่อนบ้านอย่างไทยที่เผชิญเหตุด้วยกัน ยื่นมือเข้าช่วย
หลายประเทศทั้งใกล้และไกล (เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย บังกลาเทศ อังกฤษ สหภาพยุโรป) มอบความช่วยเหลือเบื้องต้น และเตรียมเพิ่มเติมให้ในไม่ช้า
สำหรับสหรัฐซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยเหลืออันดับต้นๆ ของโลก ด้วยกลไกที่มีพร้อมสรรพ ในครั้งนี้เห็นได้ชัดถึงผลพวงนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน ลดทอนหน่วยงานบรรเทาทุกข์ และการช่วยเหลือต่างชาติ
แม้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศพร้อมช่วยมูลค่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เขาเพิ่งย้ำการตัดลดงบและบุคลากรขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา หรือ USAID เดินหน้าไปสู่การยุบเลิกในที่สุด USAID เท่าที่ยังเหลืออยู่กำลังจะส่งทีมประเมินไปยังเมียนมา แต่นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า เร็วที่สุดต้องเป็นวันพรุ่งนี้ 5 วันหลังเกิดเหตุ และเป็นเพียงทีมประเมินจำนวน 3 คน ไม่ใช่ทีมกู้ภัยที่เลื่องชื่อ สร้างผลงานทั่วโลกในการรับมือโศกนาฏกรรมด้วยความเชี่ยวชาญ หายนะภัยแผ่นดินไหวจึงสะท้อนบทบาทที่หายไปของสหรัฐ ภายใต้นายทรัมป์ ที่ได้ปลดอาวุธซอฟต์เพาเวอร์ไปแล้ว มหาอำนาจคู่แข่งจึงเร่งเข้ามาเติมเต็ม
จากปัจจัยการเมืองโลก มาสู่การเมืองภายในรัฐบาลทหารต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีความจริงใจ ให้ชาวเมียนมามากมายที่เสียความมั่นใจ จึงมีเสียงเตือนออกมา อย่างแรกต้องไม่ลืมว่า พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ถูกศาลอาญาระหว่างประเทศ กล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ผู้ที่เพิ่งประกาศในวันกองทัพว่ากำลังทำสงครามที่ชอบธรรมกับประชาชน
ในเวลาที่ผู้นำลงพื้นที่ กลับยังมีการโจมตีทางอากาศเข้าใส่เป้าหมายฝ่ายต่อต้านหลายจุด รวมถึงในเขตสะกาย จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว และที่มั่นกองทัพตะอาง ในรัฐฉานตอนเหนือ แล้วต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลที่ยึดอำนาจมา 4 ปี ได้บั่นทอนงานด้านบรรเทาสาธารณภัย และกลไกบรรเทาทุกข์ หนึ่งในข้อหาที่นางออง ซาน ซู จี ตกเป็นผู้ต้องหา คือการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย จากนั้นรัฐบาลทหารกลับเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมด้วยเหตุผลความมั่นคงของชาติ ต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าจะเป็นเหตุไซโคลนนากิซ เมื่อปี 2008 โรคโควิด-19 ระบาด หรือไต้ฝุ่นยางิ เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลทหารล้มเหลวในการรับมือ
องค์กรภาคประชาสังคม สื่อมวลชนอิสระ และประชาชนชาวเมียนมา อยากให้โลกไม่ลืมว่าความช่วยเหลือควรส่งตรงถึงมือประชาชน ต้องไม่ไปสร้างความชอบธรรมให้อาชญากร.-สำนักข่าวไทย
