ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา 5 เม.ย-นายกรัฐมนตรีแถลงผลประชุม EEC หวังสร้างฐานการผลิต พัฒนาเทคโนโลยี นำไปสู่การเป็นประเทศมีรายได้สูง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งช่าติ(คสช.) แถลงผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ครั้งที่ 1 ว่า วัตถุประสงค์ในการผลักดันพัฒนาพื้นที่ EEC เพื่อสร้างฐานการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศ สร้างอนาคตให้เยาวชนไทย ซึ่งเมื่อมองปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของโลก ไทยจำเป็นต้องเตรียมการรองรับด้วยการเพิ่มมูลค่าการผลิต เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานราก สร้างการเจริญเติบโตจากภายใน
“รัฐบาลมีความเป็นห่วงเรื่องใช้จ่ายงบประมาณในอนาคต ที่จะต้องหารายได้เพิ่มเติม เพราะหากอนาคตมีรายได้เพียงพอ จะมีความสามารถในการดูแลสวัสดิการให้ประชาชนทุกกลุ่ม และให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งและการพัฒนาตัวเองของประชาชนให้ทันต่อเศรษฐกิจยุค 4.0 ประเทศไทยจึงต้องปรับกฎระเบียบกติกาให้เอื้อต่อการลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศ ทั้งนี้ เมื่อทราบปัญหาและปัจจัยต่าง ๆ แล้ว สิ่งสำคัญคือการหาแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยการแสวงหาความร่วมมือ การลงนามในบันทึกข้อตกลงและการผลักดันโครงการสำคัญต่าง ๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือจากประชาชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า EEC ถือเป็นก้าวแรกการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยใหม่ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่งในอนาคตอาจจะพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจในพื้นที่อื่น เพื่อเชื่อมโยงกับทุกพื้นที่อุตสาหกรรม นอกจากนี้ รัฐบาลยังผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 10 จังหวัดที่จะเชื่อมโยงกับ EEC และเชื่อมต่อไปยัง CLMV และประชาคมโลก ซึ่งจากการได้พบผู้บริหารภาคเอกชน ทุกคนมีความพึงพอใจในโครงการของรัฐบาล ประเด็นสำคัญคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน สร้างผลประโยชน์ที่เท่าเทียมและเป็นธรรม สร้างผลประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่และประชาชนโดยรวม ขอประชาชนในพื้นที่อย่าตกใจและขอความร่วมมือ
“ขณะนี้การปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ สิทธิประโยชน์และการรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนมีความคืบหน้า รัฐบาลเดินหน้าผลักดันการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปมาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นช่วง 5 ปีแรกของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ขณะที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จะต้องผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานมีฝีมือและพัฒนาทักษะด้านภาษา การสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาตนเอง ซึ่งภาพรวมทั้งหมด เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องผลักดัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอฝากทุกคนช่วยกันสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับประเทศไทย เพราะหากไม่ทำวันนี้ อนาคตก็จะไม่มีและต้องแก้ปัญหาเดิม ๆ จึงควรสร้างอนาคตจากวันนี้สู่วันหน้าด้วยการผลักดันโครงการในลักษณะเช่นเดียวกับ EEC อย่างต่อเนื่อง
“การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ไม่เกี่ยวข้องกับการเอื้อประโยชน์ให้กองทัพเรือ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ด้านความมั่นคง แต่ได้หารือและมีข้อตกลง ที่จะใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวทั้งเชิงพาณิชย์และความมั่นคง ซึ่งจัดทำแนวทางไว้ในขณะนี้และในอนาคตไว้แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ ระหว่างกองทัพเรือ บริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) และสถาบันการบินพลเรือน รวม 3 ฉบับ คือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ระยะที่ 1 บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ ระยะที่ 1 และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางการบินและอวกาศ .-สำนักข่าวไทย
