กรุงเทพฯ 15 ส.ค. – ผลพวง Trade war กระทบราคาปิโตรเลียมปิโตรเคมีผันผวน ไออาร์พีซียอมรับกระทบปีหน้าอาจไต่ไม่ถึงเอเวอร์เรสต์ พร้อมเดินหน้าตั้งศูนย์นวัตกรรมพัฒนาสินค้าไฮเอนด์
นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ตามแผนงานที่บริษัทตั้งเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปี 2563 ที่ระดับ 29,000 ล้านบาท หรือเทียบเท่าความสูงของยอดขาย EVEREST นั้น แม้จะทำทุกด้านทั้งขยายการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพ แต่จากสงครามการค้ากระทบราคาปิโตรเลียมปิโตรเคมีผันผวนหนัก เป้าหมาย EVERESTน่าจะเป็นไปได้ยาก โดย EBITDA ครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ระดับ 4,660 ล้านบาท แต่คาดแนวโน้มกำไรสุทธิครึ่งหลังของปีนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรกที่ทำได้ 660 ล้านบาท หลังมองว่าธุรกิจกลั่นน้ำมันจะดีขึ้นรับปัจจัยบวกจากเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำ 0.5% จากเดิม 3.5% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 และเพื่อเพิ่มรายได้บริษัทได้เน้นส่งเสริมงานพัฒนาสินค้านวัตกรรม ล่าสุดผลิตเม็ดพลาสติกที่เหมาะสมกับแผงโซลาร์ลอยน้ำและรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้น
“กำไรครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นจากธุรกิจกลั่นน้ำมันที่ได้รับผลบวกจากเกณฑ์ IMO เพราะเราผลิตได้ทั้งดีเซลและน้ำมันเตากำมะถันต่ำ ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะยังแค่ทรง ๆ ตัว ซึ่งภาพรวมน่าจะผลักดันให้ GIM ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ทำได้มากกว่าระดับ 9.94 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในครึ่งปีแรก” นายนพดล กล่าว
ทั้งนี้ ไออาร์พีซี สามารถผลิตน้ำมันเตากำมะถันต่ำได้ โดยมีขีดความสามารถสูงถึง 40,000 ตัน/เดือน และเดือนกรกฎาคมเริ่มส่งออกน้ำมันเตากำมะถันต่ำไปแล้ว 15,000 ตันเป็นรายแรกของไทย
สำหรับผลกระทบเทรดวอร์ ทำให้บริษัทปรับตัวด้วยการลดส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนเหลือประมาณ 20% หรือต่ำกว่าจากเดิมที่ 30% ของการส่งออก และหันมาทำตลาดในอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนาม รวมถึงการขายในประเทศมากขึ้น เพราะเริ่มเห็นผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้มีการย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามหรือไทยมากขึ้นด้วย และบริษัทขยายการลงทุนในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ภายใต้แพลตฟอร์ม “พลาสเก็ตดอทคอม (PLASTKET.COM)” เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท Guangzhao Saiju Performance Polymer Ltd. (GZSJ จากจีน จะจำหน่ายเม็ดพลาสติกจากทุกแบรนด์เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการพลาสติก SME ทั่วประเทศเข้ามานำเสนอจำหน่ายซื้อขายสินค้าได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส
ส่วนแผนงานไออาร์พีซีจะพัฒนาเพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ เป็นระดับ 55% ภายในสิ้นปีนี้ จาก 52% ในปัจจุบัน และเพิ่มเป็น 60% ในปี 2563 ซึ่งจะช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้กับสินค้าของบริษัท โดยล่าสุดทุ่มงบประมาณ 700 ล้านบาท เพื่อสร้างศูนย์นวัตกรรม ซึ่งคาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นปีนี้ รองรับการพัฒนาสินค้าเกรดพิเศษที่ปัจจุบันมีการวิจัยและนำออกสู่ตลาดได้แล้ว 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์พีพี คอมปาวด์เกรดพิเศษ (PP Compound) ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งภายในและภายนอกรถยนต์รุ่น FOMM ONE โดยชิ้นส่วนพลาสติกที่ใช้ 90% เป็นผลิตภัณฑ์ PP Compound ของบริษัท
ผลิตภัณฑ์ HDPE Specialty (High Density Polyethylene) เกรดพิเศษ ที่ออกแบบให้เนื้อพลาสติกเป็นสีเทาใช้เป็นทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ ที่ช่วยลดอุณหภูมิใต้แผงโซลาร์เซลล์ ส่งผลให้ระบบผลิตกระแสไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ในโครงการโซลาร์ลอยน้ำ 12.5 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เขตประกอบการไออาร์พีซี จ.ระยอง มีมูลค่า 550 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ประมาณ 17% ซึ่งจะเสร็จปี 2563 นับเป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการด้านพลังงานทดแทนของประเทศมีขนาดใหญ่สุดในอาเซียน
ส่วนโครงการผลิตอะโรเมติกส์ (MARS: Maximum Aromatics Project) กำลังการผลิตพาราไซลีน (PX) จำนวน 1-1.3 ล้านตัน/ปี และเบนซีน 300,000 – 500,000 ตัน/ปี ประมาณการการลงทุนมูลค่า 40,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) ที่คาดว่าจะได้ภายในปี 2563 ส่งผลให้โครงการเลื่อนออกไปจากแผนเดิมที่จะเสร็จปี 2566 เป็นปี 2567 .-สำนักข่าวไทย
