สถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเพชรบุรี-ปราจีนบุรีดีขึ้น

กรุงเทพฯ  11 ก.ย. – กรมชลประทานเร่งบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำต่าง ๆ โดยใช้มาตรการผันน้ำเข้าระบบรับน้ำและระบายน้ำของชลประทานและเขื่อนต่าง ๆ ควบคุมอัตราการระบายน้ำ เร่งผลักดันน้ำออกทะเล ทำให้สถานการณ์น้ำลุ่มน้ำเพชรบุรีและปราจีนบุรีดีขึ้นตามลำดับ 

นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงสถานการณ์ลุ่มน้ำเพชรบุรีว่า ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีลดลง จากที่ระดับน้ำสูงสุดเหนือทางระบายน้ำล้นสูง (Spillway) ถึง 1.40 เซนติเมตร ปัจจุบันสูงกว่า Spillway ประมาณ 30 เซนติเมตร น้ำไหลผ่านทางระบายน้ำล้นลงสู่แม่น้ำเพชรบุรีท้ายเขื่อนแก่งกระจาน ซึ่งกรมชลประทานใช้มาตรการผันน้ำเข้าระบบรับน้ำและระบายน้ำของชลประทานผ่านคลอง 4 สาย และคลอง D9 ระบายออกทะเลที่ปึกเตียน อำเภอท่ายางรวมเหลือเพียง 50-60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรริมคลองชลประทานลดลง เมื่อน้ำไหลไปถึงเขื่อนเพชรได้ใช้เขื่อนเพชรเป็นเครื่องมือหน่วงน้ำเพื่อควบคุมอัตราการระบายน้ำให้อยู่ที่ 120-130 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงไม่ส่งผลกระทบตัวเมืองเพชรบุรี ซึ่งลำน้ำรับน้ำได้ 150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะนี้ระดับน้ำตลอดลำน้ำเพชรบุรีต่ำกว่าตลิ่ง ยกเว้นอำเภอบ้านแหลมเป็นที่ลุ่มต่ำและทางออกทะเลมียังคงมีน้ำท่วมขัง แต่ลดระดับลง โดยเครื่องผลักดันน้ำทั้ง 26 เครื่องทำงานตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังมีน้ำท่วมขังพื้นที่เกษตรตำบลท่าไม้รวก อำเภอท่ายางซึ่งเป็นที่ลุ่มต่ำมากริมแม่น้ำเพชรบุรีซึ่งกรมชลประทานได้ไปทำคันดินกั้นน้ำแล้วสูบน้ำออกจากพื้นที่ ในระยะยาวจะพิจารณาติดตั้งประตูระบายน้ำเพื่อควบคุมระดับน้ำต่อไป 

นอกจากนี้ กรมชลประทานยังประสานความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี นครนายก และฉะเชิงเทราในการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำปราจีนบุรีและบางปะกงร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ให้น้อยที่สุด ขณะนี้ระดับน้ำทะเลเริ่มลดแล้ว จึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำออกทะเล ขณะนี้น้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรีลดลงแล้ว อีกทั้งใช้มาตรการรับน้ำเข้าสู่ระบบรับน้ำและระบายน้ำของชลประทานผ่านประตูระบายน้ำบางเดชะและประตูระบายนำบางพลวงเข้าสู่พื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งบางพลวง โดยจะติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบหรือกระทบให้น้อยที่สุดต่อพื้นที่ปลูกข้าวของเกษตรกร ซึ่งสามารถลดระดับน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีที่ตลาดเก่ากบินทร์บุรีได้ประมาณ 10 เซนติเมตร ส่วนอำเภอเมืองปราจีนบุรี ระดับน้ำยังคงทรงตัว  เมื่อแม่น้ำปราจีนบุรีไหลมาบรรจบแม่น้ำนครนายก จังหวัดนครนายก น้ำไหลได้ช้าลงเนื่องจากลำน้ำนครนายกรับน้ำได้น้อยกว่าลำน้ำปราจีนบุรี 4-5 เท่า จึงลดการระบายน้ำจากเขื่อนขุนด่านปราการชลและชะลอการสูบน้ำที่ล้นตลิ่งทั้ง 2 ฝั่งกลับสู่แม่น้ำนครนายก จากนั้นได้แบ่งระบายออกทะเล 2 ทาง ทางแรกคือ ผ่านแม่น้ำบางปะกงที่ อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำไว้ 15 เครื่อง อีกทางหนึ่งผันเข้าแม่น้ำเจ้าพระยาระบายน้ำผ่านระบบชลประทานลงสู่คลองพระองค์ไชยานุชิต ไปลงคลองชายทะเลโดยมีสถานีสูบน้ำริมทะเลของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชลหารพิจิตร จังหวัดสมุทรปราการ สูบระบายน้ำออกทะเลในอัตราวันละ 17 ล้านลูกบาศก์เมตร 

สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำสายหลักต่าง ๆ ในภาคอีสาน หลายแห่งมีแนวโน้มเริ่มลดลง โดยสถานการณ์น้ำในแม่น้ำสงคราม ที่สถานี Kh.98 อ.เซกา จ.บึงกาฬ ระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง 55 เซนติเมตร ปริมาณน้ำจะไหลต่อมายังสถานี Kh.55 อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ปัจจุบันระดับน้ำลดลงเหลือ 63 เซนติเมตร แนวโน้มระดับน้ำในแม่น้ำสงครามเริ่มลดลง และไหลลงสู่แม่น้ำโขงตามลำดับ ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำโขงทรงตัวและเริ่มลดลงเล็กน้อย ที่สถานี Kh.1 บ้านมีชัย อ.เมือง จ.หนองคาย ลดลงจากวานนี้ 50 เซนติเมตร สถานี Kh.100 บ้านพันลำ อ.เมือง จ.บึงกาฬ ลดลงจากวานนี้ 10 เซนติเมตร สถานี Kh.16B บ้านท่าควาย อ.เมือง จ.นครพนม ลดลงจากวานนี้ 20 เซนติเมตร และสถานี Kh.104 วัดศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.มุกดาหาร ลดลงจาก วานนี้ 25 เซนติเมตร เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงต่ำกว่าระดับตลิ่งทุกสถานีจึงส่งผลดีต่อลำน้ำสาขาในเขตจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร สามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขงได้เร็วขึ้น  

ส่วนสถานการณ์น้ำในลำน้ำอูน จังหวัดสกลนครยังคงมีระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง เนื่องจากสภาพน้ำในลำน้ำสงครามและแม่น้ำโขงแม้จะลดลง แต่ยังอยู่ในระดับที่ทำให้การระบายน้ำจากลำน้ำอูนลงสู่ลำน้ำสงครามได้ช้า จึงปรับลดการระบายน้ำ เหลือวันละประมาณ 6 ล้าน ลูกบาศก์เมตรเพื่อลดผลกระทบด้านท้ายน้ำโดยเฉพาะที่ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ขณะนี้เขื่อนน้ำอูน มีปริมาณน้ำ 548 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 105 ของความจุอ่างฯ มีน้ำไหลลงอ่างวันละ 5.20 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยน้ำยังเขื่อนน้ำอูนผ่าน Spillway และเร่งสูบออกผ่านกาลักน้ำ 22 ชุด เพื่อเตรียมพื้นที่ไว้รองรับฝนที่จะตกลงมาอีกในระยะต่อไป.-สำนักข่าวไทย