รัฐสภา 2 เม.ย. –“ไพบูลย์” เสนอ ร่างแก้ไข รธน. ดึง บัตรเลือกตั้ง 2 ใบกลับมา คงอำนาจ สว.เลือกนายก ฯ ส่วนพรรคเล็ก คะแนนไม่ถึง 1% ไม่ได้ สส.
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย ส.ส.พรรค พปชร. แถลงยืนยันความพร้อมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แบบรายมาตรา รวมทั้งสิ้น 5 ประเด็น 13 มาตรา โดยจะยื่นญัตติ ต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ภายในวันที่ 7 เมษายนนี้
“พรรคพลังประชารัฐ มีความแน่วแน่ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ใช้เวลาน้อย และไม่ต้องเสียงบประมาณในการจัดการออกเสียงประชามติจำนวนมาก พร้อมมั่นใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แบบรายมาตราครั้งนี้ จะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายค้าน และวุฒิสภา เนื่องจากมีการพูดคุยกับ ส.ว. แล้ว และหวังว่า เมื่อประธานรัฐสภา บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมแล้ว จะขอให้มีการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาในวาระแรก วันที่ 25 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ น่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้”นายไพบูลย์ กล่าว
ส่วนกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลเตรียมเสนอแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราแยกญัตติ เพื่อแก้ไขมาตรา 256 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมาตรา 272 ในการตัดอำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นั้น นายไพบูลย์ เชื่อว่า การตัดอำนาจ ส.ว. จะทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากวุฒิสภา และการแก้ไขมาตรา 256 ก็ยังจะต้องจัดการออกเสียงประชามติ ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจะไม่ให้การสนับสนุน และไม่น่าผ่านความเห็นชอบในที่ประชุมรัฐสภาด้วย ยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการยุบสภา และจากการพูดคุยกับ ส.ส. ก็ยังไม่มีใครสนับสนุนให้มีการยุบสภา และไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติว่า แก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะต้องยุบสภา เว้นเพียงสมัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยุบสภา เนื่องจากเป็นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
นายไพบูลย์ ยังย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐ สนับสนุนกระแสเรียกร้องการแก้รัฐธรรมนูญมาโดยตลอด ซึ่งตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง ตนได้ผลักดันเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา แต่ไม่มีกระแสตอบรับในขณะนั้น แต่ในขณะนี้มีความชัดเจนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ด้วยการตั้ง ส.ส.ร. เป็นไปได้ยาก ตนจึงพิจารณานำเสนอแก้ไขรายมาตราดังกล่าว
สำหรับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 ประเด็น 13 มาตรา ของพรรคพลังประชารัฐ อาทิ การตัดกระบวนการไพรมารีโหวตในการเลือกตั้ง ในมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยจะนำมาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญ 2550 มาใช้แทน , การแก้ไขกระบวนการเลือกตั้ง โดยนำระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบมาใช้แทน โดยให้มี ส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งพรรคการเมือง จะต้องส่ง ส.ส.แบบแบ่งเขตไม่น้อยกว่า 100 เขต จึงสามารถส่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ โดยจะไม่มีการปัดเศษ พรรคที่ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 1 จะไม่ได้รับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
นอกจากนั้น ยังมีการแก้ไขมาตรา 144 ว่าด้วยการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ โดยให้นำมาตรา 168 วรรค 5, 6 ,7 ,8 และ 9 ของรัฐธรรมนูญมาตรา 2550 มาใช้แทน พร้อมแก้ไขการเพิ่มสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) รายงานความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาทุก ๆ 1 ปี เป็นต้น แต่ยังคงอำนาจของ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในมาตรา 272 เอาไว้เช่นเดิม .-สำนักข่าวไทย
