กรุงเทพฯ 20 ต.ค.-กระทรวงพลังงาน จับมือกระทรวงทรัพย์ฯ ลดโลกร้อน หนุน กฟผ. ปลูกป่าล้านไร่ ไทยเตรียมประกาศในเวทีโลก ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2090 ย้ำ โยบายเศรษฐกิจทั่วโลกมุ่ง ดูแลสิ่งแวดล้อม หากตกขบวน ถูกปฏิเสธการค้า การลงทุน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว ปาฐกถาพิเศษ “พลังงาน นวัตกรรม สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” เพื่อส่งเสริมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประกาศนโยบายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของ กฟผ. (EGAT Carbon Neutrality) เพราะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก หลายปีต่อเนื่อง ทำให้เกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ ที่ไม่เคยเห็น อย่างเช่น มลรัฐเท็กซัสมีปัญหาน้ำท่วม สภาพอากาศแปรปรวน หลายพื้นที่ การร่วมมือกันปลูกต้นไม้ 1 ล้านไร่ จะช่วยลดคาร์บอนได้ถึง 1.2 ล้านตันต่อปี ไทยจึงต้องประกาศในเวทีโลก ให้รับรู้ว่าปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ค. 2090 จึงต้องยึดพลังงานยื่นหยุ่น รองรับพลังงานสะอาด สร้างสถานีประจุไฟฟ้าพลังงานสะอาด รองรับความต้องการใช้รถไฟฟ้า
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปาฐกถาพิเศษ “สิ่งแวดล้อมกับความยั่งยืน เพื่อเรา เพื่อโลก” ว่า ปัญหาก๊าซเรือนกระจกทำให้ ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง จึงเกิดภัยธรรมชาติหลากหลาย ทั้งน้ำท่วม ภูเขาน้ำแข็งละลายน้ำทะเลสูงขึ้น ทั่วโลกจึงร่วมกันป้องกันอุณหภูมิไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส จากนี้ไปการพัฒนาเศรษฐกิจ ต้องมียุทธศาสตร์ การเจรจาการค้า การลงทุน การวางกรอบข้อตกลงต้องใช้ ต้องรับผลิตชอบสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นสีเขียวเป็นแกนกลาง
จากเป้าหมาย การลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 7-20 ต่อปี ขณะที่ประเทศไทยในสิ้นปี 62 ทำได้ร้อยละ 7 เกินเป้าหมาย ภายในปี 2573 ต้องลดก๊าซเรือนกระจากให้ได้ร้อยละ 20-25 จากฐานปี 2563 และในการร่วมประชุมนานาชาติในเวที มีประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งยุโรป สหรัฐ และอีกหลายประเทศพัฒนา ตั้งเป้านับจากอีก 29 ปี หรือภายในไป ค.ส. 2050 ต้องปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ขณะที่ไทยต้องปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2090 ขณะนี้ยุโปร เริ่มมาตรการทางการค้า หากส่งสินค้าไปยุโรป ต้นทุนการใช้พลังงานสูง จะโดนปรับ เริ่มทดลอง 2566 และบังคับใช้จริง 2669 นโยบายดังกล่าว หลายประเทศทั่วโลก เริ่มจะนำมาบังคับใช้ต่อการผลิตสินค้า
นับว่าประเทศไทย ได้ประกาศยุทธศาสตร์ระยะยาว การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นประเทศแรกๆในโลก มีแผนระยะยาวชัดเจนในปี ค.ศ. 2065 ขณะที่ภาคการดูดซับ (Carbon Neutrality) ด้วยการปลูกป่า เพื่อดูดซับก๊าซเรือนกระจก หากปลูกป่า 3-5 ปี ป่าเหล่านี้จะดูดซับได้มากกว่า 2-3 เท่า ไทยต้องมีพื้นที่สีเขียว ในเขตเมืองและชนบท พื้นที่ 3.3 ล้านไร่ ดูซับได้ถึง 120 ล้านตัน ขณะที่ภาคการผลิตยังปล่อยสูง 350 ล้านตัน จึงเหลือส่วนต่างอีกมากต้องเพิ่มการดูดซับด้วยการปลูกป่าเพิ่มเติม
หลังจากครม.เห็นชอบกรอบท่าทีเจรจาของไทยในการประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-12 พฤศจิกายน 2564 ไทยเน้นจุดยืนให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องเป็นผู้นำในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมสนับสนุนทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเพียงพอ สมดุล และต่อเนื่อง
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ. ขอเป็นส่วนหนึ่ง มุ่งสู่พลังงานสะอาดภายในปี คาร์บอนเป็นศูนย์ ค.ค. 2065-2070 ผ่าน โครงการ กฟผ. (EGAT Carbon Neutrality) ด้วยการปลูกป่าร่วมกับพันธมิตร 1 ล้านไร่ในปี ค.ศ. 2031 ดูดซับคาร์บอนสูง การปลูกป่าพื้นที่ชุมชน ป่าชายเลน ป่าเศรษฐกิจ ปีละ 1 แสนไร่ เพื่อดูดซับคาร์บอน และยังใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์ 3.5-7 ล้านตันต่อปี และจะพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนแบบยั่งยืน จึงต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่าย
การเดินหน้าผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยพลังานหมุนเวียน เช่น โครงการ โซล่าเซลล์ทุ่นลอยน้ำ เขื่อนศิรินธร เพื่อผลิตไฟฟ้ากำลังการผลิต 5,300 เมกกวัตต์ ในปี ค.ศ. 2036 โดยไม่กระทบต่อการผลิตไฟฟ้าในภาพรวม และหันมาใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนไฟฟ้า 66,00 หน่วย ในปี ค.ส. 2050 เพื่อมุ่งเน้นพลังงานสะอาดตามนโยบายของรัฐบาล .-สำนักข่าวไทย
