กรุงเทพฯ 17 ก.ย. – ”ไพบูลย์ นลินทรางกูร“ เชื่อรัฐบาล “อนุทิน” มีเวลาทำงานทั้งนโยบายระยะสั้น วางรากฐานแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สนับสนุนลงทุนตลาดหุ้นไทย ยกเว้นภาษีเงินปันผลหุ้นไทย-ลดหย่อนภาษีหุ้นวงเงิน 5 แสนบาท/ปี-คง Thai ESG วงเงิน 3 แสนบาท-ดึงเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทประกัน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ โพสต์ข้อความผ่านเพจ
Paiboon Nalinthrangkurn ระบุว่าช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนที่ติดหุ้นไทยน่าจะเริ่มยิ้มออกได้บ้าง เพราะ SET Index พุ่งขึ้นเกือบ 250 จุด หรือราว 24% เหตุผลหลักคือปัจจัยการเมืองที่ชัดเจนขึ้น และความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน โดยเฉพาะมาตรการคนละครึ่ง ที่รัฐบาลจะนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ทันทีที่เริ่มใช้
แน่นอน การใช้นโยบายประชานิยมลักษณะนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ไม่ควรทำแบบพร่ำเพรื่อ ทั้งด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ และหนี้รัฐบาลที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่ถือว่ามีความจำเป็นในห้วงเวลานี้ และควรสนับสนุน เพราะเศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอมาก
มองไปข้างหน้า ผมตั้งความหวังว่าจะได้เห็นนโยบายเศรษฐกิจจากรัฐบาลอนุทิน ที่ตอบโจทย์ประเทศไม่ใช่แค่ในระยะสั้น แต่รวมถึงระยะยาว เป็นนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง และเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับด้านบวกจากสังคม
ผมเชื่อว่าทีมเศรษฐกิจนี้ โดยเฉพาะว่าที่รัฐมนตรีคลัง เข้าใจปัญหาของประเทศไทยดี ทั้งปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเชิงโครงสร้าง และความจำเป็นในการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ถึงแม้รัฐบาลอนุทินอาจมีเวลาทำงานแค่ 6-7 เดือน ผมเชื่อว่าเพียงพอในการทำทั้งนโยบายระยะสั้น และวางรากฐานการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาสังคมสูงวัย คือหนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่น่ากังวลมาก เพราะคนไทยส่วนใหญ่เกษียณแบบมีเงินไม่พอใช้ ต้นเหตุนอกจากจะเกิดจากการไม่รู้จักออม ยังรวมถึงระบบบำนาญที่ขาดประสิทธิภาพ
ระบบบำนาญไทยถูกจัดอันดับอยู่เกือบท้ายสุดของโลก เพราะเป็นระบบที่ครอบคลุมประชากรไม่มากพอ และเงินบำนาญเฉลี่ยที่ได้รับก็ไม่เพียงพอในการดำรงชีพหลังเกษียณ
และจะกลายเป็นปัญหาสังคมที่ใหญ่มากในอีกไม่กี่ปี ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด โดยมีประชากรเกิน 28% หรือเกือบ 20 ล้านคน ที่มีอายุเกิน 60 ปี
รัฐบาลอนุทินสามารถเริ่มแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการปรับปรุงระบบประกันสังคมให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพขึ้น รวมทั้งผลักดันกฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (ซึ่งร่างเสร็จแล้ว) ให้มีผลบังคับใช้ เพื่อแปลงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบการออมเพื่อการเกษียณที่ดีที่สุด จากภาคสมัครใจ เป็นภาคบังคับ
นี่คือหนึ่งตัวอย่างของการวางรากฐานการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ด้วยเวลาที่จำกัด
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ถึงแม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเริ่มดีขึ้น แต่ถ้าวัดจากต้นปี SET Index ยังติดลบเกือบ 100 จุด หรือ 7%
เทียบกับ ตลาดหุ้นโลก ที่ปรับขึ้น 15% นับจากต้นปี ตลาดหุ้น Emerging Markets ที่ปรับขึ้น 23% ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ปรับขึ้น 32% นักลงทุนไทยอาจจะเริ่มยิ้มไม่ค่อยออก
ที่น่าตกใจ ปีนี้มีตลาดหุ้นแค่ 7 ประเทศทั่วโลกที่ติดลบ และมีแค่ 3 ประเทศที่ติดลบมากกว่าไทย
ที่น่าตกใจกว่านั้น ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2566 SET Index ติดลบไป 22% ในขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้น 68% เท่ากับ Outperform ตลาดหุ้นไทยถึง 90%
ปัญหาตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีแค่หุ้นตก แต่ที่หนักกว่านั้น และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตามมา คือการที่ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถทำหน้าที่แหล่งระดมทุนให้กับภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในบทบาทสำคัญของตลาดหุ้น คือการทำหน้าที่เสาหลักในการระดมทุนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ เพราะการยกระดับเศรษฐกิจ หรือการลงทุนมูลค่าสูงๆ ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ จำเป็นต้องอาศัย “เงินทุน” ควบคู่ไปกับการใช้ “เงินกู้”
ในอดีต ช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้น และมีนักลงทุนระยะยาวจำนวนมาก รวมทั้งสภาพคล่องสูง เช่น ช่วงสิบปีระหว่างปี 2556 ถึง 2565 การระดมทุนในตลาดหุ้นไทย รวมตลาดแรกและตลาดรอง มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านบาท หรือ เฉลี่ย 3 แสนล้านบาทต่อปี บางปีระดมทุนเกือบ 5 แสนล้านบาท
แน่นอน เมื่อภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุน ผลพลอยได้ก็คือการขยายตัวที่รวดเร็วของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ที่น่าเป็นห่วงคือ ในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้ เม็ดเงินระดมทุนทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยเหลือแค่ 2.3 หมื่นล้านบาท และยังไม่มีการระดมทุน IPO ในกระดาน SET เลยแม้แต่บริษัทเดียว
และจะน่าเป็นห่วงมากขึ้น ถ้าตลาดหุ้นยังไม่สามารถกลับมาทำหน้าที่แหล่งระดมทุนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในระยะยาว จึงจำเป็นต้องใช้ “เงินทุน” เพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ อีกจำนวนมาก
หนึ่งในปัญหาหลักคือ ตลาดหุ้นไทยมีนักลงทุนระยะสั้นมากเกินไป นอกจากทำให้ตลาดหุ้นผันผวนสูง ยังทำให้ราคาหุ้นไม่สะท้อนมูลค่าระยะยาวของกิจการเท่าที่ควร ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ในการระดมทุน
ปัจจุบัน นักลงทุนระยะสั้น ที่เน้นเทรดดิ้ง มากกว่าถือระยะยาว คาดว่ามีสัดส่วนสูงถึง 70-75% ของมูลค่าซื้อขาย ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพเหมือน trading market มากกว่า ตลาดเพื่อการลงทุน
แนวทางเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดหุ้นไทยมีรายละเอียดค่อนข้างมาก คงไม่สามารถพูดถึงได้หมดในบทความนี้ แต่สิ่งแรกที่ผมอยากได้จากรัฐบาลอนุทิน คือการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นรากฐานสำคัญในการทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน
ข้อเสนอในการเพิ่มนักลงทุนระยะยาว
- ยกเว้นภาษีเงินปันผลสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย และถือหุ้นเกิน 1 ปี
- ให้วงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนตรงในตลาดหุ้น คนละ 500,000 บาท ต่อปี โดยต้องคงเงินลงทุนไว้ในตลาดหุ้นไม่ต่ำกว่า 3 ปี แต่สามารถซื้อขายเพื่อสับเปลี่ยนตัวหุ้นได้
- สนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESG คนละ 300,000 บาท เหมือนเดิมต่อไป แต่ให้ทำแบบถาวร เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดเวลาเหมือนกองทุน LTF ที่ผ่านมา
- ดึงเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทประกันชีวิต โดยลดค่าความเสี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาก 25% เหลือ 10% เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเพิ่มนำหน้กการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
- สร้างแรงจูงใจให้องค์กรภายใต้การบริหารของภาครัฐ เช่น สำนักงานประกันสังคม สำนักงานกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เพิ่มนำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ผมเชื่อว่าถ้ารัฐบาลอนุทิน สนับสนุนให้เกิดการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยกลับสู่ขาขึ้นแบบอย่างยืน และกลับมาทำหน้าที่แหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ น่าจะมีสูงทีเดียว.-516-สำนักข่าวไทย