กรุงเทพฯ 19 ส.ค.- ธปท. เผยสินเชื่อระบบแบงก์พาณิชย์ ไตรมาส 2 ปี 68 เหลือ 0.9% หดตัวต่อเนื่อง NPL ทรงตัวที่ 2.91% ยอดคงค้าง 5.549 แสนล้านบาท หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/68 ลดแตะ 87.4% ห่วงนโยบายภาษีสหรัฐฯกระทบลูกหนี้รายย่อย จากสินค้าทะลักเข้าไทย พร้อมหารือคลัง-ภาคธุรกิจช่วยลูกหนี้บ้าน-รถยนต์สินเชื่อส่วนบุคคล
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน แถลงสรุปภาพรวมธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2 ปี 2568 โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 2 ปี 2568 โดยรวมยังหดตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงมาอยู่ที่ -0.9% จากระยะเดียวกันปีก่อนที่ -1.3%
สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ขยายตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และภาคอุตสาหกรรม การผลิตที่มีการเร่งการส่งออก ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวต่อเนื่องในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะสินเชื่อบัตรเครดิต ที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง ซึ่งเห็นกลุ่มผู้ถือบัตรที่มีรายได้เกิน 5 หมื่นบาท สะท้อนการใช้จ่ายที่มีความระมัดระวังมากขึ้น
ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อ NPLไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 5.549 แสนล้านบาท จากสินเชื่อธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว แม้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือแล้วก็ตาม ขณะที่ปริมาณ NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคปรับลดลงทุกประเภท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ทรงตัวอยู่ที่ 2.91%
สำหรับสินเชื่อ Stage 2 ปรับลดลงในเกือบทุกพอร์ต โดยหลักเป็นการจัดชั้นดีขึ้นของลูกหนี้ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 ลดลงอยู่ที่ 6.88% อย่างไรก็ดีธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้
ผลการดำเนินงานธนาคารพาณิชย์ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองปรับเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบนโยบายการค้าโลก ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและปริมาณสินเชื่อที่ลดลง รวมทั้งจากมาตรการคุณสู้ เราช่วย ที่มีการลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีภาระหนี้สูง รวมถึงธุรกิจและครัวเรือนที่อาจได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมต่อฐานะการเงินจากผลกระทบมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนติดตาม
ผลสำเร็จของการให้ความช่วยเหลือภายใต้โครงการคุณสู้เราช่วย
ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 1 ปี 2568 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน ที่ 87.4% จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงเป็นสำคัญ ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่การก่อหนี้ทรงตัว ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวมลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน แม้ภาคการผลิตปรับดีขึ้นจากการเร่งผลิตเพื่อส่งออก แต่ภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการอื่น ๆ เผชิญแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงและกำลังซื้อที่ชะลอลงในตลาดที่อยู่อาศัย พร้อมคาดการณ์สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2 จะลดลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับ 87%
นางสาวสุวรรณี กล่าวเพิ่มเติมว่าผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ ส่งผลต่อกลุ่มลูกหนี้ธุรกิจในเฟส 1 ส่วนธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบอยู่ในกลุ่มส่งออก และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการไหลทะลักจากสินค้าต่างประเทศ ถือเป็นกลุ่มที่น่ากังวล ซึ่ง ธปท. กำลังพิจารณามาตรการเพื่อช่วยธุรกิจเหล่านี้ปรับตัวและเปลี่ยนผ่านไปได้ โดยมองว่า NPL อาจมีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ อีกทั้งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและภาคธุรกิจเพื่อมาตรการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้ที่อยู่อาศัย รถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล ด้วยเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อในระยะข้างหน้า อาจไม่ได้กลับมาขยายตัวในไตรมาสถัดไป จากสถาบันการเงินยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งหากมีการลงทุนใหม่ การปรับตัว และการเปลี่ยนผ่าน จะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้สินเชื่อกลับมาขยายตัว
ส่วนการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี นั้น จะช่วยกลุ่มลูกหนี้ที่อิงกับดอกเบี้ยลอยตัว โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งจะช่วยลดภาระการชําระดอกเบี้ยของหนี้เดิมลงไปได้ แต่สำหรับการปล่อยกู้ใหม่ ยังคงขึ้นอยู่กับ credit risk เป็นสำคัญ
กรณีที่ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่เปิดรับสมัครใจลาออกนั้น ถือเป็นรอบในการเปิดรับสมัครที่เป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปรับตัวและการปรับลดต้นทุน ในภาวะการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการเข้ามาของ Virtual bank ในปีหน้าที่มีต้นทุนต่ำกว่า ทั้งนี้การลดต้นทุนดังกล่าว ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร แต่จะต้องมาพิจารณาว่ากระทบการให้บริการลูกค้าหรือไม่.-516-สำนักข่าวไทย
