กรุงเทพฯ 18 ธ.ค. – “ประเสริฐ” ปลัดกระทรวงพลังงาน คาดปี 2568 แผนพลังงานคืบหน้า ทั้งด้านการลงทุน การบริหารจัดการค่าพลังงานที่ข่าวดีค่าเชื้อเพลิงปรับลดลงหนี้น้ำมัน-ไฟฟ้า เหลือใกล้เคียงกันราว 8 หมื่นล้านบาท ส่วนไตรมาส 1/68 ชัดเจนเรื่องเปิดประมูลแหล่งอันดามัน จัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ในปี 2568 คาดว่าจะมีความคืบหน้าในการดำเนินการในกิจการพลังงานในหลายเรื่อง โดยในไตรมาส 1/68 คาดจะเปิดให้ยื่นขอสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ (รอบ 26) ในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามัน ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการปิโตรเลียมเรียบร้อยแล้ว โดยมีหลายบริษัทที่ให้ความสนใจเข้าร่วม เช่น โททาล, บมจ. ปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ซึ่งที่ผ่านมาเคยให้สัมปทานในบริเวณนี้แล้ว แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่น้ำลึก คาดว่าไม่คุ้มค่ากับการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ แต่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว จึงคาดการเปิดประมูลจะมีความน่าสนใจเพราะแหล่งอันดามันถือว่ามีศักยภาพ ในการพัฒนาปิโตรเลียม เนื่องจากอยู่ใกล้กับแหล่งยาดานา และเยตากุน ของเมียนมา
ขณะเดียวกันในส่วนการทำงานของ กฟผ. ก็คาดว่าในไตรมาส 1/68 จะมีความคืบหน้าเรื่องเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง สัญญาที่ 8/1 ด้วยวิธีพิเศษ เพราะ กฟผ.เร่งรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตามที่ จากกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีหนังสือสั่งการให้ตรวจสอบและให้ กฟผ. ระงับการดำเนินการใด ๆ ชั่วคราว ในขณะที่บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ได้ยื่นอุทธรณ์ โครงการประมูลวันที่ 13 ธ.ค.67 และตามระเบียบ กฟผ.ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ใช้เวลาประมาณ 30 วัน
ปัจจุบันสัญญาถ่านหินที่ 8/1 กำลังจะสิ้นสุดลงหาก สัญญาที่ 9 ล่าช้าออกไปเลยเดือนกุมภาพันธ์ 68 จะกระทบต่อการผลิตไฟ้ฟ้า โรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ ทำให้ปริมาณการผลิตถ่านหินได้ไม่เพียงพอป้อนเป็นเชื้อเพลิง กำลังผลิตจะหายไป 600-800 เมกะวัตต์ และต้องมีการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทดแทน ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,380 ล้านบาท จะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า 8 สตางค์ต่อหน่วย
ทางด้านสภาพคล่อง กฟผ. ปัจจุบัน กฟผ. มีกระแสเงินสด 5-6 หมื่นล้านบาท สามารถบริหารจัดการได้ จึงลดผลกระทบจากที่ต้องรับภาระค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในระบบแทนประชาชนไปก่อนหน้านี้ โดยล่าสุด การบริหารจัดการหนี้คงค้างค่าไฟฟ้าเหลืออยู่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าการจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาว (ร่างพีดีพี 2024) อยู่ระหว่างการทบทวน เพราะมีหลายภาคส่วนเสนอให้พิจารณาจากหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดย รมว.พลังงาน ได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบเพื่อจัดทำให้รอบคอบต่อไป ซึ่งต้องพิจารณาในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน เชื้อเพลิง ,สำรองไฟฟ้า ,พลังงานทดแทน การดำเนินการตามแผนลดภาวะโลกร้อน ในอนาคต
โดยในส่วนที่สำรองไฟฟ้าที่หลายส่วนมองว่ามีปริมาณสูงนั้น หากจะดูภาพรวม โดยเฉพาะช่วงความต้องการสูงสุด (พีค) ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางคืน สำรองจะเหลือราวประมาณ 30% และหากตัดกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ออกไป ประกอบกับร่างแผนพีดีพีแทบจะไม่มีโรงไฟฟ้าใหญ่ ๆ เข้ามา ก็จะทำให่สำรองไฟฟ้าปี 69-70 ลดลงมาก ขณะที่ร่างแผนพีดีพีใหม่ ได้ปรับระบบสำรองไฟฟ้าเป็น LOLE เพื่อพิจารณาถึงความมั่นคง ในขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาเรื่อง การลงทุนด้านไอที ด้านเอไอ ด้านด้าต้าเซนเตอร์ ที่มีความต้องการพลังงานสีเขียวเพิ่มมากขึ้น สำรองไฟฟ้าก็ต้องเพียงพอ
ส่วนการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชนโดยตรง (Direct PPA) โครงการนำร่อง 2,000 เมกะวัตต์ ได้ก็ต้องบรรจุในร่างแผนพีดีพีใหม่ โดยทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะเป็นผู้จัดทำเงื่อนไข
ส่วนการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีภาระหนี้ ในการอุดหนุนราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้มนั้น ในขณะนี้หนี้เหลือราว 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากการที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับทรงตัว มีการดูแลดีเซลในระดับเพดานไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ในขณะที่ไม่ได้มีการอุดหนุนเชื้อเพลิงชีวภาพ มีการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ทั้งกลุ่มเบนซินและดีเซล จึงทำให้คาดว่า การบริหารกองทุนฯ จะไม่เกิดปัญหา สามารถใช้หนี้ได้ตามแผน โดยในขณะนี้มีเงินไหลเข้ากองทุนฯราว 7 พันล้านบาทต่อเดือน และหวังว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ราคาพลังงานไม่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลภาพรวมการจัดการค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมัน เป็นไปตามแผน. -511- สำนักข่าวไทย
