กรุงเทพฯ 18 ม.ค. – ปตท.สผ. เร่งแผนผลิตก๊าซฯ เพื่อความมั่นคงและลดผลกระทบพึ่งพา LNG มั่นใจ แปลง G1/61 (เอราวัณ) ผลิตได้ตามสัญญา 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เดือน เม.ย.67 เผยปี 65 ทำสถิติสูงสุดทั้งยอดขายและปริมาณแท่นผลิตในอ่าวไทย
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ปตท.สผ.เร่งกำลังผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี )ที่มีราคาสูง โดยในส่วนแปลง G1/61 (เอราวัณ) ในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นการติดตั้งแท่นผลิตเพิ่มอีก 4 แท่น หลังจากที่ปี 2565 ติดตั้งไปแล้ว 8 แท่น ส่งผลให้คาดว่าปริมาณการผลิตในแปลง G1/61 จะเพิ่มขึ้นกว่า 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็น 400-450 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวันในช่วงกลางปีนี้ และเพิ่มเป็น 600 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวันในช่วงปลายปีนี้ หลังจากนั้นจะเพิ่มเป็น 800 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวัน ตามสัญญา PSC ในเดือนเมษายน 2567
ส่วนแปลง G2/61 (บงกช) สามารถผลิตได้มากกว่าสัญญา PSC ซึ่งกำหนดไว้ที่ 700 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวัน โดยปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวัน ขณะที่แหล่งอาทิตย์ จากเดิมผลิตอยู่ที่ 220 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวัน เพิ่มเป็น 300 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวัน รวมทั้งโครงการพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย(JDA) เพื่อชดเชยปริมาณก๊าซฯในช่วงที่แปลง G1/61 ยังไม่สามารถผลิตได้ตามสัญญา โดย ปตท.สผ.เตรียมงบลงทุนสำหรับแปลง G1/61 และ G2/61 ไว้ที่ประมาณ 700-800 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ทั้งนี้ ปตท.สผ. เร่งติดตั้งแท่นผลิต เจาะหลุมเพิ่ม เร่งวางท่อก๊าซฯ เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซในแปลง G1/61 ให้ได้ตามสัญญา หลังจากที่ได้รับการส่งมอบพื้นที่ล่าช้ากว่าแผนงานไป 2 ปี เร่งสำรวจ หลุมเจาะ 600-700 หลุมต่อปี เร่งติดตั้งแท่นผลิตในระดับสูงสุดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยมีถึง 10 แท่น และเตรียมติดตั้งเพิ่มอีก 1 แท่น ซึ่งตามสัญญา จะต้องผลิตแปลง G1/61 ต้องเพิ่มเป็น 800 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวัน ส่วนแปลง G2/61 ราว 700 ล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวัน”นายมนตรีกล่าว
อย่างไรก็ตามภาพรวมความต้องการใช้ก๊าซฯ ในประเทศ เพิ่มสูงขึ้น หน้าที่ของ ปตท.สผ. คือการรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน บนราคาที่สาเหตุสมผล ซึ่งก๊าซฯ ที่มาจากอ่าวไทยและเมียนมา คิดเป็น 60% ของปริมาณความต้องการใช้ก๊าซฯทั้งหมด มีราคาประมาณกว่า 200 บาท/ล้านบีทียู ส่วนอีก 40% เป็นการนำเข้า LNG ซึ่งมีราคาแพง คิดเป็นประมาณ 700-800 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่ง ปตท.สผ. จำเป็นต้องผลิตก๊าซในเมียนมาต่อไป ปัจจุบันมี 2 แปลง ได้แก่ ยาดานาและซอติก้า กำลังผลิตราว 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็นสัดส่วน 17% ของปริมาณความต้องการใช้ก๊าซฯทั้งหมดในประเทศไทย และคิดเป็น 50% ของปริมาณความต้องการใช้ก๊าซฯทั้งหมดในเมียนมา ดังนั้นหากหยุดผลิตจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงาน และกระทบความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ
สำหรับยอดขายปิโตรเลียมของ ปตท.สผ. ในปี 2565 ทำสถิติสูงสุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัท ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่ 38 ของ ปตท.สผ. มีปริมาณการผลิตทั้งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันรวม 5.8 แสนบาร์เรลต่อวัน และมียอดขายอยู่ที่ 4.68 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก มาจากโครงการในต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการที่โอมานและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปี 2566 คาดยอดขายจะไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว โดยขณะนี้ ปตท.สผ. อยู่ระหว่างจัดทำแผนลงทุนปีนี้ รวมทั้งวางเป้ายอดขายปีนี้ คาดว่าตัวเลขประกาศตัวเลขออกมาภายในวันที่ 31 มกราคมนี้ ซึ่งตามแผนเดิมคาดการณ์ปริมาณการขายปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 4.7 แสนบาร์เรลต่อวัน
“ปีนี้ยอดขาย คาดใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ก็มีโอกาสที่ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้น หากเข้าลงทุนในโครงการใหม่ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีการเจรจาหลายโครงการ แต่ด้วยสถานการณ์ราคาพลังงานที่ผันผวน ยอมรับการเจรจา M&A จึงยากขึ้น” นายมนตรี กล่าว
ปตท.สผ.จะเร่งพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการลัง เลอบาห์ ในโครงการซาราวัก เอสเค 410บี นอกชายฝั่งประเทศมาเลเซีย หลังจากล่าสุดบริษัท พีทีทีอีพี เอชเค ออฟชอร์ จำกัด (พีทีทีอีพี เอชเคโอ) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ขุดเจาะหลุมประเมินผล ลัง เลอบาห์-2 (Lang Lebah-2) เสร็จสิ้นไปเมื่อกลางเดือนมกราคม 2564 ที่ระดับความลึก 4,320 เมตร และค้นพบชั้นหินที่มีก๊าซฯ หนาสุทธิถึง 600 เมตร ชี้ให้เห็นว่าแหล่งกักเก็บดังกล่าวมีขนาดใหญ่กว่าที่ได้เคยคาดการณ์ไว้จากการเจาะหลุมสำรวจหลุมแรก ลัง เลอบาห์-1อาร์ดีอาร์2 (Lang Lebah-1RDR2) เมื่อปี 2562 และจากการทดสอบหลุมประเมินผล ลัง เลอบาห์-2 พบว่ามีอัตราการไหลของก๊าซฯ ประมาณ 50 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คาดว่าจะเริ่มผลิตก๊าซฯ ออกมาได้ภายในปี 2570 ตั้งเป้าผลิตรวม 1,200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่จะป้อนเข้าโรงงาน LNG ในมาเลเซียทั้งหมด
นอกจากนี้ยังเร่งผลักดันโครงการที่มีในปัจจุบัน ได้แก่ โครงการ Oman Block 61 ในประเทศโอมาน ,โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคช ในประเทศแอลจีเรีย ซึ่งเริ่มผลิตก๊าซฯ แหล่งที่ 2 แล้ว ขณะที่โครงการโมซัมบิก ล่าสุดทาง TOTAL E&P Mozambique Area 1 Limitada ในฐานะผู้ดำเนินการ เตรียมแผนกลับเข้าไปผลิตในปีนี้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนมุ่งเน้นการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ การขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (Drive Value) ทั้งการเพิ่มปริมาณการผลิตจากโครงการในประเทศไทย และเร่งรัดการพัฒนาโครงการหลักๆ ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง, เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonize) และบริษัทยังมุ่งเน้นสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ (Diversify) เกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูง หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งธุรกิจที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่สำหรับอนาคต
ปตท.สผ. ได้จัดสรรงบลงทุน 5 ปี (ปี 2566-2570) รวม 29,100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 1,006,676 ล้านบาท คาดการณ์ตัวเลขประมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันจากโครงการปัจจุบัน ระหว่างปี 2566 – 2570 ดังนี้ ปี 2566 ปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ย 4.7 แสนบาร์เรลต่อวัน , 2567 อยู่ที่ 5.1 แสนบาร์เรบลต่อวัน ,ปี 2568 อยู่ที่ 5.35 แสนบาร์เรลต่อวัน ,ปี 2569 อยู่ที่ 5.31 แสนบาร์เรลต่อวัน และปี 2570 อยู่ที่ 5.5 แสนบาร์เรลต่อวัน .-สำนักข่าวไทย
