กรุงเทพฯ 4 ก.ย. – “รมช. มนัญญา” สั่งคุมเข้มคุณภาพปุ๋ยยูเรียนำเข้า มอบอธิบดีกรมวิชาการเกษตรนำตรวจติดตามการนำเข้าปุ๋ยยูเรียจากเรือใหญ่ และการขนถ่ายปุ๋ยยูเรีย เชื่อแนวโน้มราคาปุ๋ยอาจลดลงหลังนำเข้าเพิ่ม เผย 12 อันดับนำเข้าปุ๋ยยูเรีย 3 ปี นำเข้าจากซาอุฯ มากที่สุด โดยรัสเซียและยูเครนไม่ติดใน 12 อันดับแรก
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า สั่งการให้ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรตรวจเข้มคุณภาพปุ๋ยยูเรียนำเข้า (สูตร 46-0-0) เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยคุณภาพที่ดีและคุณสมบัติถูกต้องตามที่สำแดง รวมถึงเป็นการป้องกันการปลอมปนของปุ๋ยด้อยคุณภาพ
ทั้งนี้คาดว่า จากนี้ไปราคาปุ๋ยจะมีโอกาสลดลงเนื่องจากปริมาณปุ๋ยยูเรียที่ภาคเอกชนขอนำเข้าเริ่มมีปริมาณเพิ่มขึ้นโดยตั้งแต่มกราคม-กรกฎาคม 2565 นำเข้าแล้ว 1.25 ล้านตัน จากที่ปี 2564 นำเข้าทั้งปี 1.96 ล้านตัน ส่วนปี 2563 นำเข้า 2.1 ล้านตัน ปริมาณเกือบเท่ากับการนำเข้าในช่วงภาวะปกติก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียซึ่งหลายฝ่ายกล่าวว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ปุ๋ยมีราคาแพงเพราะเป็นประเทศที่ส่งออกปุ๋ยรายสำคัญ
การนำเข้าปุ๋ยยูเรียระหว่างปี 2563 – กรกฎาคม 2565 นั้นพบว่า 12 อันดับที่ไทยนำเข้านั้นไม่มีชื่อของประเทศยูเครนและรัสเซีย โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ และมาเลเซียซึ่งรวมการนำเข้าจาก 3 ประเทศนี้กว่า 80% ดังนั้นราคาปุ๋ยที่แพงขึ้นอ้างเหตุจากสงครามน่าจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ซึ่งกำลังให้กรมวิชาการเกษตรไปช่วยดูว่า จะทำอย่างไรให้ปุ๋ยมีราคาลดลงเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ เพราะหากเกษตรอยู่ไม่ได้ ไม่มีเงินซื้อ ธุรกิจต่อเนื่องก็เดือดร้อนเช่นกัน จึงหวังว่า จะเกิดความร่วมมือช่วยเหลือกันทุกฝ่าย
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าวว่า ได้ลงเรือตรวจติดตามการนำเข้าปุ๋ยยูเรีย พร้อมด้วยพลเรือโท วศิน บุญเนือง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพเรือ ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช หัวหน้าด่านตรวจพืชท่าเรือแหลมฉบัง หัวหน้าด่านตรวจพืชลาดกระบัง และหัวหน้าด่านตรวจพืชท่าเรือกรุงเทพ พร้อมทั้งผู้แทนสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง โดยตรวจติดตามการนำเข้าปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 จากเรือใหญ่และการขนถ่ายปุ๋ยยูเรีย รวมถึงสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น ข้าวและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังบริเวณทะเลรอบเกาะสีชังและท่าเรือเอกชน เขตพื้นที่ชายฝั่ง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะมาตรการเฝ้าระวัง ติดตาม และควบคุมการนำเข้าปุ๋ยเคมีในลักษณะการนำเข้าแบบเทกอง (Bulk) เพื่อป้องกันการนำเข้าปุ๋ยที่ไม่มีคุณภาพตามพ.ร.บ.ปุ๋ย พ.ศ. 2518 พร้อมกับสร้างความมั่นใจถึงมาตรการในการควบคุมการนำเข้าปุ๋ยยูเรียจากต่างประเทศของกรมวิชาการเกษตรที่จะมีมาตรการและแนวทางการปฏิบัติในการควบคุมการนำเข้าจากแหล่งผลิตต้นทางจากต่างประเทศ รวมถึงกำหนดให้เอกชนที่ขอนำเข้าต้องมีการขึ้นทะเบียนขอเป็นผู้นำเข้า มีการขึ้นทะเบียนผู้ผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการค้าในประเทศรวมถึงการขอนำเข้า
ทั้งนี้รมช. มนัญญาได้กำชับว่า ให้ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการตรวจสอบเพื่อป้องกันการนำเข้าปุ๋ยด้อยคุณภาพมาขายในประเทศ โดยกรมวิชาการเกษตรจะตรวจสอบคุณภาพปุ๋ยยูเรียเป็นรายชิปเมนต์ทั่วประเทศ ก่อนตรวจปล่อยออกสู่ตลาด รวมถึงมีกระบวนการติดตามตรวจสอบโดยได้กำชับให้สารวัตรเกษตรและสารวัตรเกษตรอาสาทั่วประเทศเฝ้าระวังไม่ให้มีปุ๋ยด้อยคุณภาพวางจำหน่ายในตลาด เนื่องจากปุ๋ยยูเรียมีความสำคัญในระบบการผลิตทางการเกษตร หากปุ๋ยด้อยคุณภาพจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนเกษตรกร พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำนโยบายการป้องกันการลักลอบสวมสิทธิ์สินค้าเกษตรอื่นๆ เพื่อรักษาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยด้วย
สำหรับการนำเข้าปุ๋ยยูเรียของไทย ในช่วงเดือนสิงหาคมมีการขอนำเข้าปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ผ่านช่องทางทะเลบริเวณเกาะสีชัง และได้แจ้งขออนุญาตนำเข้ากับกรมวิชาการเกษตร ตลอดจนผ่านพิธีการศุลกากร 74,109.83 ตัน โดยแหล่งผลิตปุ๋ยยูเรียที่สำคัญและประเทศไทยนำเข้าใน 3 ปีที่ผ่านมาอันดับ 1-12 คือ 1.ซาอุดิอาระเบีย ปี 63 นำเข้า 1.01 ล้านตัน ปี 64 นำเข้า 8.2 แสนตัน ปี 65 (ม.ค.- ก.ค.) นำเข้า 5.9 แสนตัน 2. กาตาร์ ปี 63 นำเข้า 5.4 แสนตัน ปี 64 นำเข้า 3.2 แสนตัน และครึ่งปี 65 นำเข้า 2.5 แสนตัน 3. มาเลเซีย ปี 63 นำเข้า 3.2 แสนตัน ปี 64 นำเข้า 3.2 แสนตัน และครึ่งปี 65 นำเข้า 2.1 แสนตัน 4. โอมาน 5. บาห์เรน 6. เวียดนาม 7. จีน 8. ญี่ปุ่น 9. สเปน 10.อินโดนีเซีย 1 1. อุซเบกิสถาน 12. บรูไน.-สำนักข่าวไทย
